Nagasaki เมืองสุดน่ารักริมเกาะคิวชูที่มีดีกว่าที่คิด!
ทริปนี้เราจะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับเมืองท่าที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และประวัติศาสตร์มากมาย มาพร้อมกับบรรยากาศที่สุดแสนจะคลาสสิค ได้นั่งรถรางเที่ยวทั่วเมือง ได้ลิ้มลองอาหารหลากหลายเชื้อชาติแถมยังมีรถไฟคาเฟ่สุดคิ้วท์ที่จะพาเราแล่นผ่านเส้นทางริมวิวทะเล บอกเลยเป็นทริปที่ฮีลใจสุด ๆ
การเดินมาก็แสนง่ายนิดเดียว สามารถนั่งรถไฟจากฟุกุโอกะมาลงสถานีนางาซากิใช้เวลาราว ๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง ส่วนการเดินทางจากไทยช่วงนี้ขอป้ายยาสายการบิน Airasia ที่มีบินตรงจากสนามบินดอนเมืองสู่ฟุกุโอกะ ที่ราคาแสนจะประหยัดแถมยังบินตรงเวลาเป๊ะอีกด้วย
ที่พูดมานี้แค่น้ำจิ้มเบา ๆ เท่านั้นนะเพราะนางาซากิยังมีอะไรให้พวกเราค้นหาอีกมากมาย ว่าแล้วใครอยากรู้ว่าที่นี่มีอะไรดีจนทำให้เรารู้สึกหลงรักเมืองนี้ รีบตามมาดูกัน!
Flight :
การเดินทางในรอบนี้เราเลือกใช้บริการของสายการบินคู่ใจชาวไทยอย่าง AirAsia ที่มีบินตรงจากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินฟุกุโอกะด้วยเวลาบินช่วงกลางคืน ทำให้เรามาถึงที่นี่ตอนเช้าตรู่ก่อนใคร ไม่ต้องรอแถวยาว ๆ ในตม.และพร้อมเที่ยวต่อได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลา ตอบโจทย์ทั้งเรื่องเวลาและราคาตั๋วที่ประหยัด ยิ่งช่วงนี้มีโปรโมชั่นเริ่มต้นที่เที่ยวบินละ 2,790 บาทเท่านั้น ใครอยากบินมาเที่ยวแบบชิว ๆ สามารถสำรองที่นั่งได้ที่ : https://www.airasia.com/en/gb
ทั้งหมดนี้ว่าสะดวกสบายแล้ว ยิ่งเราใช้แพคเกจ Premium Flex ยิ่งทำให้การเที่ยวครั้งนี้ของเราฟินยิ่งขึ้นเพราะเค้ามีทั้งอาหารบนเครื่องและต่อแถวขึ้นเครื่องก่อนใครแถมได้กระเป๋าไวอีกด้วย เรียกได้ว่าเติมพลังบนเครื่องแล้วสามารถออกไปเที่ยวได้เลยหลังจากเครื่องแลนดิ้งลงสนามบิน
Nagasaki Prefecture
ทริปนี้เราจะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับจังหวัดนางาซากิ หนึ่งในจังหวัดที่แสนจะน่ารักและเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์มากมาย ที่นี่ ตั้งอยู่ภูมิภาคคิวชูสามารถนั่งรถไฟจากสถานี Hakata มาลงที่สถานี Takeo – Onsen แล้วต่อชินคันเซนมาลงที่สถานี Nagasaki ได้เลยใช้เวลาเดินทางราว ๆ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น โดยเมืองนี้ที่ทำให้คนทั่วโลกรู้จักต้องย้อนไปถึงปลายสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกระเบิดปรมาณูลงเมืองเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่ทุกคนบนโลกคงจำไม่เคยลืม ในอดีตเมืองนี้ถูกพัฒนาโดยโปรตุเกสและอังกฤษ ทำให้ตึกรามบ้านช่อง วัฒนธรรมรวมถึงอาหารต่าง ๆ ยังคงหลงเหลือวัฒนธรรมแบบฝรั่ง พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกโอบล้อมไปด้วยทะเลและภูเขา ทำให้ที่นี่เป็นจังหวัดที่มีเกาะมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลย
ส่วนการเดินทางเที่ยวในตัวเมือง Nagasaki ส่วนใหญ่จะใช้รถรางหรือรถแทรม ( Tram ) ค่าโดยสารไม่ว่าจะขึ้นใกล้หรือใกลก็อยู่ที่ 140 เยน
001 Meganebashi Brigde สะพานเมงาเนะบาชิ
ขอเริ่มต้นกับโลเคชั่นแรกที่เป็นเหมือนไอคอนประจำเมืองนางาซากิกับสะพานเมงาเนะบาชิที่ใช้ข้ามแม่น้ำนากาชิมะ โดยชื่อสะพานนี้แปลตรงตัวที่มีรูปร่างเหมือนแว่นตาตอนเวลาที่เงาสะพานสะท้อนกับพื้นน้ำ จนทำให้มีรูปแบบเป็นวงกลม 2 วงซ้อนกัน ว่ากันว่าที่นี่เป็นสะพานหินโค้งสไตล์จีนแห่งแรกที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น แม้ว่าช่วงปี 1982 จะเกิดภัยพิบัตน้ำท่วมจนทำให้สะพานนี้เกิดความเสียหาย แต่ก็ถูกสร้างขึ้นใหม่จากหินก้อน
อย่างที่บอกที่นี่เป็นสะพานหินที่เก่าแก่มากสุดในญี่ปุ่นเพราะสร้างตั้งแต่ปีค.ศ.1634 โดยพระชื่อว่าโมะกุซูที่มีสะพานคู่ของพระราชวังอิมพีเรียลในโตเกียวเป็นแรงบันดาลใจ ที่นี่เป็นมุมถ่ายรูปสุดฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาแล้วต้องขอเดินมาชมและเสพบรรยากาศบริเวณรอบนี้กันดูสักครั้ง นอกจากจะเป็นจุดที่อยู่กลางเมืองแล้ว ภายในซอกซอยบริเวณนี้ยังเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟให้เราได้แวะชิมอีกด้วยนะ
นอกจากความเก่าแก่แล้ว ที่สะพานเมงาเนะบาชิยังมีความลับน่ารัก ๆ ซ่อนไว้อีกด้วย เพราะเค้าว่ากันว่าหินทั้งหมดที่สร้างสะพานหรือกำแพงภายในเมืองนี้ จะมีบางก้อนที่รูปร่างที่คล้ายรูปหัวใจที่จะนำพาความสุข โชคลาภและความรักมาสู่คนที่พบเจอมัน ถ้าใครอยากเจอลองเดินหากันดูเอง
ความน่ารักของสะพานเมงาเนะบาชิและก้อนหินรูปหัวใจยังไม่หมดเท่านั้นเพราะบริเวณนี้ยังมี “ไอศกรีมชิริน ชริน” สุดคิ้วท์อีก โดยชื่อชิริน ชิริน นั้นตั้งมาจากเสียงของกระดิ่งตามรถขายไอศกรีมแบบกรุ๊งกริ๊งไรงี้ มีขายตามจุดท่องเที่ยวต่าง ๆ ถ้าเห็นรถเข็นเล็ก ๆ สีฟ้า สีเขียวหรือที่ผู้คนต่อแถวซื้อกัน ให้รู้เลยว่านั้นแหละคือ “ไอศกรีม ชิริน ชิริน”
จุดเด่นของตัวไอศกรีมนี้คือนอกจากจะมีเนื้อไอศกรีมที่เหมือนไอศกรีมเชอเบทแล้ว ยังมีรูปร่างลักษณะเหมือนกรีบกุหลาบอยู่ด้านบนอีกด้วย ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าชิริน ชิริน นี้ ได้ครองใจเด็ก ๆ ในเมืองนางาซากิมาตั้งแต่สมัยโชวะจนถึงปัจจุบัน
002 Nagasaki Peace Park สวนสันติภาพ
ที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ทิ้งระเบิดปรมาณูที่ชื่อว่า Fat man ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1945 โดยระเบิดลูกนั้นได้ทำลายนางาซากิตอนเหนือเกือบทั้งเมืองและยังฆ่าสิ่งมีชีวิตไปมากกว่า 80,000 คน ภายในสวนนี้จะรวบรวมรูปปั้นแห่งสันติภาพไว้มากมาย รวมทั้งรายชื่อของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายจากเหตุการณ์นั้นอีกด้วย
แต่ไฮไลต์ที่นี่คงหนีไม่พ้นรูปปั้นสันติภาพนางาซากิอันสง่างามที่ตั้งอยู่ด้านในสุดของสวน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคำมั่นสัญญาต่อสันติภาพตลอดกาลถูกสร้างโดยคุณ เซโบะ คิตามูระ ศิลปินท้องถิ่น เพื่อให้เป็นการระลึกถึงผู้ที่เสียชีวิตและทุก ๆ วันที่ 9 สิงหาคนของทุกปีจะมีการจัดพิธีรำลึกขึ้นที่ฐานของรูปปั้นนี้ ถ้าใครชอบประวัติศาสตร์เราว่าที่นี่จะทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความน่ากลัวปนความโศกเศร้าของคนญี่ปุ่นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยนะ
รูปปั้นนี้นอกจากจะการสร้างเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วยังมีความสำคัญในแง่สัญลักษณ์อีกด้วย โดยความหมายของการชี้นิ้วขวาขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อเตือนภัยอันตรายจากระเบิดปรมาณูและมือซ้ายที่แผ่ออกไปนั้นเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสงบนิรันดร์ รูปปั้นนี้ยังมาพร้อมกับใบหน้าที่แสดงถึงความสันติภาพและนัยตาที่ถูกปิดเพื่อแสดงถึงคำอธิษฐานแก่จิตวิญญาณของผู้ที่เป็นเหยื่อ ขาขวาที่พับอยู่ในท่าการทำสมาธิ และขาซ้ายที่ยืดออกไปเหยียบพื้นดินนั้นเป็นการร้องขอให้ทุกคนยืนหยัดขึ้นและช่วยเหลือโลกใบนี้ ถือว่าเป็นรูปปั้นที่มีความหมายและความสำคัญมาก ๆ ของเมืองนางาซากินี้เลย
ส่วนบริเวณรอบ ๆ เราจะเห็นกล่องสีดำที่ฐานของรูปปั้นสันติภาพนางาซากินี้มีชื่อของเหยื่อระเบิดปรมาณูและนกกระเรียนที่มีความหมายสงบนิรันดร์
เดินถัดมาอีกนิดเราจะเจอกับสวนไฮโปเซ็นเตอร์ที่แสดงตำแหน่งจุดศูนย์กลางของระเบิดปรมาณูที่ลงทำลายเมืองนางาซากิในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
003 Nagasaki Atomic Bomb Museum พิพิธภัณฑ์ปรมาณูนางาซากิ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกและให้ความเคารพผู้ที่ตกเป็นเหยื่อรวมถึงผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูในครั้งนั้น ภายในพิพิธภัณฑ์จะเล่าเรื่องราวและประวัติศาสตร์มากมายทั้งก่อนและหลังสงคราม
เมื่อเราเข้ามาจะพบกับสิ่งของทั้งเสื้อผ้า ของใช้ต่าง ๆ ของเหยื่อที่เสียชีวิตจากการระเบิด รวมถึงนาฬิกาที่หยุดในเวลาเดียวกันเมื่อระเบิดถูกทิ้งลงมา ถือว่าเป็นภาพที่โศกเศร้าและยังแอบเห็นคนญี่ปุ่นบางคนยังร้องไห้กับเหตุการณ์นี้อยู่เลย นอกจากนั้นภายในยังมีการจำลองระเบิด “แฟตแมน” (Fat Man) หรือ มาร์กทรี (Mark 3) ที่เป็นโคดเนมของระเบิดปรมาณูที่ทางสหรัฐอเมริกา ทิ้งถล่มเมืองนางาซากิ จากระดับความสูง 1,800 ฟุต อีกด้วย
004 Dejima
ในอดีตเดจิมะถือว่าเป็นสถานที่แห่งเดียวในญี่ปุ่นที่ชาวต่างชาติสามารถเข้ามาค้าขายได้จนถึงปี 1843 โดยที่นี่สร้างขึ้นครั้งแรกเพื่อแยกชาวดัตช์กับชาวโปรตุเกสที่ค้าขายในเมืองนี้ และป้องกันไม่ให้มีการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ จนต่อมาที่นี่ได้กลายเป็นแหล่งอาศัยของพวกอพยพชาวดัตช์ และเป็นแหล่งค้าขายกับพวกยุโรปในเวลาต่อมา
ปัจจุบันภายใน Dejima ได้เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงให้เราได้ชมกัน นอกจากนั้นเรายังสามารถเดินซึมซับบรรยากาศเก่า ๆ สัมผัสกลิ่นอายญี่ปุ่นในยุคเอโดะที่รุ่งเรืองที่สุดของเมืองนี้ ส่วนใครอยากได้รูปเก๋ ๆ ที่นี่ก็มีบริการชุดยูกาตะให้เช่าถ่ายรูปอีกด้วย
บริเวณภายในนอกจากมีพิพิธภัณฑ์และอาคารเก่าแก่แล้ว ยังมีมุมสวนให้เราได้นั่งพักพร้อมเสพบรรยากาศอีกด้วย
ภายในอาคารต่าง ๆ เค้าจะจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์และเล่าถึงประวัติการค้าขายของเมืองนี้รวมถึงจำลองภาพ 3D เรือสำเภา ข้าวของใช้และตกแต่งบ้านเรือนให้เปรียบเหมือนของจริง ใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และอยากสัมผัสกลิ่นอายญี่ปุ่นในยุคเอโดะ เราแนะนำที่นี่เลย
005 Nagasaki Shinchi Chinatown
ชินชิไชน่าทาวน์ ย่านการค้าชื่อดังที่ติด 1 ใน 3 ไชน่าทาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นโดยที่นี่ถูกสร้างขึ้นต้นของศตวรรษที่ 17 ในช่วงที่ญี่ปุ่นมีนโยบายปิดประเทศ แต่มีเพียงนางาซากิเมืองเดียวที่ปล่อยให้มีการค้าได้ จึงทำให้ย่านนี้มีประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
ได้ชื่อว่าเก่าแก่และมีความหลากหลายของเชื่อชาติจึงการันตีเลยว่าสินค้าและร้านอาหารต่าง ๆ ในย่านนี้ถูกขนาดนามว่าเป็นเมืองจีนย่อม ๆ เลย และอาหารขึ้นชื่ออย่าง “จัมปง” ที่เป็นเมนูหลักของคนที่นี่ใครมาแล้วห้ามพลาดที่จะลิ้มลองกัน
ความเป็นมาของ จัมปง เริ่มต้นที่สมัยก่อนมีนักเรียนแลกเปลี่ยนชาวจีนย้ายมาอยู่ที่นางาซากินเป็นจำนวนมากและพ่อครัวก็ได้สังเกตอาหารการกินของนักเรียนเหล่านั้นไม่ค่อยดีนัก จึงเริ่มคิดค้นเมนูที่ตอบโจทย์นักเรียนจีนเหล่านั้นขึ้นมา จมปงนั้นเปี่ยมไปด้วยคุณค่าสารอาหารและพลังงาน ที่มีรสชาติออกมัน ๆ เค็ม ๆ จากซุปกระดูกหมูมาพร้อมเส้นและผักต่าง ๆ อย่างถั่วงอก เห็ดหูหนู กะหล่ำปลี รวมทั้งเนื้อหมู เนื้อไก่และอาหารทะเล ทุกวันนี้เมนูนี้เป็นเมนูประจำเมืองนี้ไปแล้ว ใครที่มานางาซากิแล้วไม่ได้ลอง ถือว่าพวกแกมาไม่ถึงเมืองนี้กันนะ
ถ้าจัมปงยังไม่สาแก่ใจ เราแนะนำให้เดินทอดน่องตามซอกซอยและแวะชิม คาคุนิมัง (Kakuniman) ที่จะเป็นเหมือนมันจูสอดไส้หมูสามชั้นตุ๋น รสชาติเหมือนหมูตุ๋นในพะโล้ แนะนำให้ทานตอนร้อน ๆ ตัวแป้งและเนื้อหมูจะนิ่ม อร่อยมาก
ส่วนอีกเมนูที่ไม่อยากให้พลาดกันคือ ฮาโตชิ (Shrimp Toast) จะเป็นแผ่นแป้งขนมปังอัดแน่นไปด้วยเนื้อกุ้งแล้วนำไปทอดกรอบ ยิ่งทานตอนร้อน ๆ เนื้อขนมปังจะกรอบและหอมมาก
006 NGS COFFEE
ถ้าจะให้แนะนำร้านกาแฟดี ๆ ในเมืองนางาซากิสักร้านนึง ขอยกร้าน NGS COFEE ที่ตั้งอยู่บริเวณสถานีรถไฟนางาซากิ ให้เลย โดยร้านนี้นอกจากเมืองนี้แล้วยังมีอีกหลายสาขาทั่วญี่ปุ่นอีกด้วย
ภายในร้านตกแต่งด้วยสไตล์ที่เรียบง่ายเหมาะแก่การหาเวลานั่งชิว ๆ ยิ่งวันไหนอากาศดี ๆ แนะนำให้นั่งหน้าร้านนะ ส่วนใครที่อยากหาของฝากชิค ๆ ในร้านเค้าก็มีขายของต่าง ๆ เช่นแก้วน้ำ โปสการ์ดน่ารัก ๆ รวมถึงเสื้อผ้าและเมล็ดกาแฟต่าง ๆ อีกด้วย
ที่บอกว่าขอยกร้านนี้เป็นร้านแนะนำเพราะนอกจากตัวร้านที่ให้บรรยากาศเป็นกันเองแล้ว ตัวเมนูกาแฟที่เค้าเลือกใช้เมล็ดกาแฟอย่างดีและมีเมนูให้เราได้เลือกมากมาย มาพร้อมชีสเค้กที่หวานละมุน แนะนำให้ลองสั่งเมนู DRIP COFFEE ทานกันนะ
007 ขบวนรถไฟคาเฟ่ Two Stars 4047
ใช้แล้วฟังไม่ผิดหรอกเพราะรถไฟที่ญี่ปุ่นนั้นมีอะไรให้เราได้ตื่นเต้นอยู่เสมอ เช่นเดียวกับขบวน Two Stars 4047 ที่เรากำลังจะพาทุกคนแล่นรถไฟไปชมวิวทะเลกัน โดยขบวนนี้จะมีแค่เวลาเดียวต่อวันคือ 14.53 น. เริ่มต้นตั้งแต่สถานี Nagasaki และรถไฟวิ่งจะไปถึงสถานี Chiwata จุดหมายปลายทางของเรารอบนี้
ความพิเศษของขบวน Two Stars 4047 ที่จะมีโซนเก้าอี้นั่งสามารถนั่งชมวิวทะเลได้อย่างสะดวกสบายแล้ว แถมยังมีตู้ขบวนที่เป็นคาเฟ่ขายขนมและเครื่องดื่ม ๆ อีกด้วยและด้วยสีสันที่ตกแต่งออกมาได้ดูลูกคุณหนู ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นั่งถึงได้แอบเต็มอยู่ตลอด เกือบลืมบอกไปใครที่มี JR PASS สามารถใช้จองขบวนพิเศษนี้ได้เลยนะ
เมื่อรถไฟเริ่มแล่นเข้าสู่สถานี Chiwata เราก็จะเริ่มมองเห็นวิวทะเลที่ฟีลเหมือนกำลังนั่งรถไฟอยู่บนฝืนน้ำอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย ยิ่งวันไหนที่มีแสงแดดและอากาศที่ดี เราว่าขบวนเป็นหนึ่งในดรีมลิสต์ของเหล่าคนที่รักในการนั่งรถไฟของญี่ปุ่นกันทีเดียว
เมื่อมาถึง Chiwata Station รถไฟจะจอดให้เราถ่ายรูปน้อง Twi Stars 4047 คู่วิวทะเลกันสักพักแล้วจะแล่นต่อไปยังสถานีปลายทาง ส่วนใครที่จะกลับเมืองนางาซากิแนะนำให้ลงที่นี่แล้วรอขบวนรถไฟรอบหน้าที่สถานีนี้เลย
008 Chiwata Station
สถานีเก่าแก่ที่ได้ชื่อว่าเป็นสถานีติดริมทะเลมากที่สุดในนางาซากิเลยก็ว่าได้ ช่วงเวลาที่เหมาะคือช่วงที่พระอาทิตย์ตกดิน เราจะได้ชมวิวทะเลที่สวยงามคู่กับตัวสถานีที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลังแบบคลาสสิค แต่ด้วยที่รถไฟขบวนค่อนข้างน้อย แนะนำให้ดูเวลากลับกันดี ๆ นะ ไม่งั้นตกรถไฟต้องหาแท็กซี่กลับซึ่งค่าโดยสารคือแพงมาก!
ด้วยความที่สถานีอยู่ชานเมือง ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบสงบ แต่ถ้าใครอยากมาสัมผัสสถานีริมทะเลดูกันสักครั้ง เราว่าที่นี่ก็ตอบโจทย์ทุกคนได้นะ
009 Mount Inasa
ถ้ามีเวลาช่วงเย็น เราอยากจะชวนทุกคนขึ้นมาชมวิวเมืองนางาซากิพร้อมแสงพระอาทิตย์ตกบนเนินเขา Mount Inasa ที่ได้ชื่อว่าติด 1 ใน 3 จุดชมวิวกลางคืนที่สวยที่สุดในญี่ปุ่นเลยนะ แนะนำให้ขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์ตกสัก 1 ชั่วโมงกำลังดี ส่วนการเดินทางก็สามารถหารถบัสขึ้นมายังจุดต่อกระเช้าไฟฟ้าแล้วเดินขึ้นไปจุดชมวิวได้เลย
ตัวกระเช้าไฟฟ้าจะค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยระหว่างทางเราจะได้ชมวิวภูเขาที่รายล้อมไปด้วยฝืนป่าอันเขียวขจีกันตลอดทาง แค่เริ่มต้นก็ได้กลิ่นธรรมชาติที่สวยงามแล้ว
เราใช้เวลาเดินทางด้วยกระเช้าไฟฟ้าราว ๆ 15 นาทีก็ขึ้นมายังจุดชมวิวด้านบนกัน บรรยากาศที่นี่ช่วงเย็นคือฟินมาก เราจะเห็นคนญี่ปุ่นที่ต่างพากันขึ้นมาชมวิวกันเป็นคู่ ๆ ยิ่งช่วงกลางคืนเราว่าที่นี่ยิ่งโรแมนติกมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจุดชมวิว Mount Inasa ถึงติด 1 ใน 3 จุดชมวิวยามค้ำคืนที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น
ส่วนใครโชคดีจะได้เห็นท้องฟ้าน่ารัก ๆ แบบเรา ขอบอกเลยว่ามันเป็นโมเมนต์ที่ดีมาก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนจะอบอุ่น ได้เห็นวิวเมืองค่อย ๆ มืดลง ได้เห็นโมเมนต์น่ารัก ๆ ของผู้คนที่ยิ้มแย้มถ่ายรูปกัน ทำให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดที่เราอยากให้ทุกคนได้ขึ้นมาสัมผัสบนนี้กันจริง ๆ
ช่วงที่เราไปราว ๆ 19.30 แสงพระอาทิตย์ก็ค่อย ๆ ลับขอบฟ้าและถูกแทนด้วยแสงจากนีออน บริเวณจุดชมวิวนี้เราจะได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองนางาซากิแบบรอบด้าน อากาศช่วงกลางคืนบนนี้ก็เย็นสบายถึงจะมาช่วงฤดูร้อนก็เถอะ สุดท้ายเช็ครอบรถเมล์เข้าเมืองกันให้ดีด้วยนะ
010 Shianbashi Ramen
จะจบทริปแล้ว ขอแนะนำเมนูชูโรงที่แนะนำให้ใส่ไว้ในลิสต์รายชื่ออาหารเมืองนางาซากิไว้เลยเพราะ ซาระอุด้ง คือความดีงามที่ทำให้ทริปนี้ของเราสมบูรณ์แบบ แนะนำร้าน Shianbashi Ramen นี้เลยเพราะเป็นร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดและปิดดึกสุดในเมืองนางาซากิ
ซาระอุด้ง หน้าตาและรสชาติอาจจะเหมือนราดหน้าหมี่กรอบแบบบ้านเรา แต่ตัวเส้นที่เล็กและกรอบมาก ๆ มาพร้อมผักต่าง ๆ ราดด้วยน้ำซุปที่เป็นสูตรเฉพาะทานคู่กับเกี๊ยวซ่าและโอเด้งร้อน ๆ ขอมอบมงให้กับความฟินของมื้อเย็นนี้เลย
011 Grill Restaurant Bulls kitchen AMU Nagasaki
ส่วนใครยังไม่อิ่มขอแนะนำอีกเมนูที่เป็นไฮไลต์ของเมืองนี้อย่าง “ข้าวหน้าตุรกี” อย่างที่รู้กันว่าเมืองนี้มีกลิ่นอายของชาวต่างชาติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจีนและชาติตะวันตกอื่นๆ เมนูนี้เลยถูกคิดค้นให้มีความผสมผสานของหลากหลายเชื้อชาติเริ่มตั้งแต่สปาเก็ตตี้ที่เป็นของชาวตะวันตก ข้าวพิราฟจากจีนและโปะด้วยทงคัตสึที่เป็นอาหารจากญี่ปุ่น ถือว่าเป็นอีกเมนูที่ใครมาเมืองนี้ต้องมาลองกันนะ
สุดท้ายใครกำลังมองหาเมืองเล็ก ๆ มีเพียบพร้อมไปด้วยธรรมชาติ ประวัติศาตร์ อาหารการกินที่หลากหลาย นางาซากิคือหนึ่งในหมุดหมายที่อยากให้ทุกคนมาสัมผัสกัน ใครมาเที่ยวคิวชูลองหาเวลามาที่นี่สัก 2-3 วัน แล้วจะรู้ว่าที่นี่น่ารักขนาดไหน