ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่น ไม่ว่าจะฤดูหนาว ฤดูร้อนหรือฤดูฝนก็ล้วนมีความสวยงามและเสน่ห์อย่างมหัศจรรย์ เช่นเดียวกับทริป Shirakawago ครั้งนี้ของเรา!
หมู่บ้านที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมู่บ้านมรดกโลกที่ภาพจำหลายคนคงคุ้นชินกับหิมะที่ปกคลุมบ้านทรงกัสโชสึคุริกัน แต่ใครละจะคาดว่าช่วงฤดูร้อนของที่นี่ จะมีธรรมชาติที่รายล้อมไปด้วยทุ่งนาอันเขียวขจีที่มองแล้วความสบายตา สบายใจ มาพร้อมย่านเมืองเก่า Takayama ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อฮิดะ ตอบโจทย์คนที่รักการกินและต้องการชมความสวยงามของธรรมชาติได้อย่างลงตัว
ส่วนใครอยากเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแบบสะดวกสบายไม่ต้องแพลนเองให้เหนื่อย เราขอแนะนำทัวร์ของ Unithai Trip แหล่งรวมทริปดี ๆ ที่มีให้เราเลือกเส้นทางทริปญี่ปุ่นและหลากหลายประเทศ ตอบโจทย์คนที่อยากมาสัมผัสความฟินของประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่อยากเหนื่อยในการเที่ยวเอง
สามารถดูรายละเอียดทริปต่าง ๆ ได้ที่ : www.unithaitravel.com
TAKAYAMA OLD TOWN
มาเริ่มเช็กอินกันที่แรกเลยที่กับย่านเมืองเก่าอย่าง TAKAYAMA OLD TOWN ย่านอาคารไม้โบราณที่ถูกอนุรักษ์ไว้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยว มีพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และร้านขายของที่ระลึกมากมาย และเป็นย่านที่มีของกินเยอะมาก ๆ ทั้งของคาวและของหวาน มีทั้งร้านนั่งรับประทานและร้านสตรีทฟู้ดที่สามารถยืนรับประทานหน้าร้านได้เลย
ที่สำคัญภายในซอย OLD TOWN นี้ยังมีร้านดังอย่าง HIDA KOTTEUSH ตั้งอยู่บนถนนเส้นนี้อีกด้วย ร้านนี้จะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของเมืองเก่าที่ดูคลาสสิกและเมนูเด็ดที่ถ้าไม่สั่งก็เหมือนมาไม่ถึงเมืองนี้ นั่นก็คือ ซูชิเนื้อฮิดะบนแผ่นข้าวเกรียบ รสสัมผัสเนื้อนุ่ม ละลายในปาก ตามด้วยความกรอบ เคี้ยวเพลินที่ได้จากข้าวเกรียบ บอกได้คำเดียวว่า “ฟิน!”
ภายในซอกซอยที่ทอดยาวเพียงไม่กี่กิโล แต่ร้านอาหารเยอะจนเลือกลองไม่ไหว แต่ถ้าให้เลือกแนะนำเราอยากให้ทุกคนได้ลองโกเฮโมจิ (Goheimochi) ที่จะนำข้าวมาบดเสียบไม้ย่างทาด้วยซอสงากลิ่นหอม รสชาติหวานหอมกลมกล่อมและ Hida Beef Bun ซาลาเปาเนื้อฮิดะที่เป็นเนื้อวัวขึ้นชื่อของจังหวัดนี้ ทานร้อน ๆ ตัวแป้งจะนุ่ม ซอดแทรกด้วยเนื้อรสชาติฉ่ำ ๆ เป็นอาหารที่แก้หนาวได้อย่างฟินเลยแหละ
Suzuya Restaurant
เนื้อฮิดะ!! สวรรค์ของคนรักเนื้อ นอกจากเนื้อโกเบกับเนื้อวากิวแล้ว ก็มีเนื้อฮิดะจาก เมือง TAKAYAMA นี่แหล่ะที่ทำให้พอได้ลองแล้ว รู้สึกอยากอยู่ที่นี่ต่ออีกนาน ๆ เลย
จุดเริ่มต้นของการหลงใหลเมืองนี้ เกิดจากการได้เห็นเมนูเนื้อ HIDA ย่างบนใบโอบะ โอววววแม่จ้าวววว นั่นเนื้อหรือหินอ่อนนั่น! ลายเนื้อสวยงาม พร้อมสีขาวมันวาว และการย่างบนใบโอบะนั้นยิ่งทำให้ตัวเนื้อมีกลิ่นหอมน่ารับประทานเอามาก ๆ ยิ่งอยู่กับอากาศหนาวจัด ๆ แบบนี้ การได้มาเจออะไรร้อน ๆ เป็นอะไรที่ฟินสุด ๆ
ไม่รอช้ารีบจัดเช็ต HOBA YAKI เป็นเนื้อ HIDA ย่างบนใบโอบะปรุงด้วยซอสมิโซะ และ SUKIYAKI เนื้อ HIDA มาซดน้ำร้อน ๆ อย่าถามเลยว่าอร่อยมั้ย ความคิดเรื่องการถ่ายรูปกลับมารีวิวแทบจะหายไปทันทีที่อาหารมาวางอยู่ตรงหน้า เนื้อนุ่มมาก แทบละลายในปาก กลิ่นเนื้อหอม ๆ ชวนให้สั่งอีกเรื่อย ๆ น้ำจากผักที่ออกมารวมกันกับน้ำสุกี้หวาน ละมุนลิ้น ยิ่งได้รับประทานพร้อมเนื้อที่ลวกในระดับความสุกที่กำลังดี บอกเลยว่าฟิน!! ใครที่ไปเที่ยวเมือง TAKAYAMA แล้วเกิดหิวขึ้นมา ขอแนะนำเลยว่าร้านนี้คู่ควรกับการฝากท้องมาก ๆ
แน่นอนนกที่ตื่นเช้าแบบเราก็ไม่พลาดที่จะออกไปชมวิถีชีวิตของคนที่นี่ยามรุ่งสางกัน โดยตลาดหลัก ๆ ในเมืองทาคายาม่าจะมีทั้งหมด 2 ที่คือ ตลาดจินยะเมะ (Jinya-mae Market) และ ตลาดมิยางาวะ (Miyagawa Market) ที่เรามานั้นเอง โดยที่นี่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำมิยางาวะในเขตเมืองเก่า ทำให้บรรยากาศที่นี่มีความน่ารักและเป็นกันเองแบบสุด ๆ
ของขายหลัก ๆ จะเป็นพืชผัก ผลไม้ซะส่วนใหญ่ แต่สายคาเฟ่ฮอปแบบเราก็ไม่พลาดที่จะมองหาร้านกาแฟจนมาเจอกับร้านนึงที่อยู่ริมแม่น้ำ เป็นร้านกาแฟเล็ก ๆ ที่มีไฮไลต์เมนูเด็ดคือ cafe’ macchiato ที่เสิร์ฟใน cookie cup ทำลวดลายน้องแมวน่ารัก ๆ ตัวกาแฟคือดื่มปั๊บ กัดปุ๊บ อร่อยแบบลงมาพร้อมบรรยากาศสุดชิลล์ริมแม่น้ำ ถือว่าเป็นโมเมนต์ดี ๆ ทริปนี้ของเราเลย
Takayama to Shirakawago
เช้าวันที่ 2 เราเลือกนั่งบัสจากเมืองทาคายามะมายังเมืองมรดกโลกอย่างชิราคาวาโกะกันใช้เวลาเดินทางราว ๆ 1 ชั่วโมง หลับ ๆ ตื่น ๆ มาแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว โดยตั๋วรถบัสเราสามารถซื้อได้ที่สถานี Takayama ได้เลย
SHIRAKAWAGO
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายไฮไลต์ของทริปนี้กับหมู่บ้านมรดกโลกอย่าง SHIRAKAWAGO ตั้งอยู่กลางหุบเขาที่มีบ้านรูปแบบ กัสโชสึคุริ (Gassho-zukuri) อายุเก่าแก่กว่า 200-300 ปี ซึ่งที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวนาแบบโบราณ โดยที่มาของคำว่า กัสโซ ที่แปลว่า “พนมมือ” ได้มาจากรูปทรงหลังคาที่ลาดเอียงและชันขึ้นกว่า 60 องศา เพื่อใช้ไล่หิมะในฤดูหนาวและด้วยที่มีลักษณะคล้ายมือสองข้างพนมเข้าหากันจึงเป็นที่มาของคำนี้ ยิ่งกว่านั้นความอเมซิ่งของโครงสร้างบ้านหลังนี้ใช้ตะปูเพียง 1 ตัวในการสร้าง วัสดุต่าง ๆ ก็นำมาจากธรรมชาติล้วน ๆ ถ้ามาช่วงฤดูร้อนแบบเราจะเห็นชาวบ้านฉีดน้ำขึ้นหลังคาเพื่อระบายความร้อน จนทำให้เป็นไฮไลต์ภาพที่แปลกตา แต่เรามารอบนี้ไม่ได้เห็นนะ
โดยที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวนา ทำให้ช่วงฤดูร้อนประมาณเดือนมิถุนายน – สิงหาคม เราจะได้เห็นความเขียวขจีของต้นไม้ ใบหญ้ารวมถึงทุ่งนาที่ต่างงอกงามตามกาลเวลา ยิ่งได้ขึ้นมาดูตรงจุดชมวิวของที่นี่ ยิ่งทำให้เราได้เห็นหมู่บ้านนี้ถูกรายล้อมไปด้วยธรรมชาติอย่างสุดลูกหูลูกตา และเห็นความสวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านทรงหลังคาทรงพนมมือ ไม่แปลกใจเลยว่าหมู่บ้านทำไมผู้คนถึงหลงรักและแวะเวียนมาเที่ยวกันได้ตลอดทั้งปี
ถึงภาพลักษณ์ภายนอกจะดูเก่าแก่ แต่บอกเลยว่าภายในเค้าก็ยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ภายในหมู่บ้านนี้มีทั้งร้านอาหาร ร้านขนมของฝากรวมไปถึงเกสต์เฮ้าส์สุดคลาสสิกที่ควรค่าแก่การหาเวลามานอนมาก แอบบอกไว้ก่อนนะว่าที่พักในหมู่บ้านนี้คือเต็มตลอด ถ้าใครมีแพลนอยากมานอนแนะนำให้แพลนจองกันล่วงหน้ายาว ๆ เลย
อย่างที่บอกญี่ปุ่น ไม่ว่าจะหน้าร้อน หน้าหนาว หน้าซากุระหรือใบไม้ร่วงก็สวยงามและมีเสน่ห์ในตัวเองแบบมหัศจรรย์ ใครที่อยากสัมผัสเมืองมรดกโลกในรูปแบบสีเขียว สบายตา ถึงเวลาแล้วที่พวกแกจะต้องจองตั๋ว พร้อมเสื้อผ้าพริ้ว ๆ แล้วบินมาเก็บบรรยากาศกันในช่วงนีกัน!
ส่วนใครอยากเดินทางเที่ยวญี่ปุ่นแบบสะดวกสบายไม่ต้องแพลนเองให้เหนื่อย เราขอแนะนำทัวร์ของ Unithai Trip แหล่งรวมทริปดี ๆ ที่มีให้เราเลือกเส้นทางทริปญี่ปุ่นมากมายรวมถึงหลากหลายประเทศ ตอบโจทย์คนที่อยากมาสัมผัสความฟินของประเทศญี่ปุ่น แต่ไม่อยากเหนื่อยในการเที่ยวเอง เราแนะนำที่นี่เลย
สามารถดูรายละเอียดทริปต่าง ๆ ได้ที่ : www.unithaitravel.com