Lake BAIKAL Frozen with snow and ice

Lake BAIKAL Frozen with snow and ice

Lake Baikal Frozen

เกริ่นกันมาเยอะแล้ว เอาเป็นว่ามาฟังประวัติคร่าว ๆ ของที่นี่กันดีกว่า โดยทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ และลึกที่สุดในโลก มีพื้นที่ราว ๆ 31,722 ตารางกิโลเมตร เกิดจากการที่เปลือกโลกเคลื่อนตัวจนทำให้น้ำทะลักเข้ามาเมื่อ 25 ล้านปีก่อน และได้รับเป็นมกดกโลกจากทาง UNESCO ในปีพ.ศ. 2539 ความสวยงามของที่นี่ได้รับฉายานามว่าเป็น “ดวงตาสีฟ้าแห่งไซบีเรีย” นอกจากนั้นยังได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 10 ดินแดนที่หนาวที่สุดในโลกอีกด้วย

ทะเลสาบไบคาลนั้นตั้งอยู่ใกล้เมือง Irkutsk ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นอีร์คุตสค์ ประเทศรัสเซีย มี Olkhon Island ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบ โดยช่วงเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคม อากาศที่นี่จะหนาวเย็นแบบสุดขั้วชนิดที่ว่าติดลบกว่า 40 องศา จนทำให้น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็งที่หนากว่า 1-2 เมตร ทำให้รถยนต์สามารถวิ่งไปมาได้ และทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเหล่าผู้คนทั่วโลกที่อยากมาสัมผัสความหนาวเย็น และชมความสวยงามของทะเลสาบไบคาลช่วงนี้กัน

Travel Plan

สำหรับแพลนทริปของเราที่เน้นเก็บแลนด์มาร์คทุกจุด แนะนำว่าการมาเที่ยวทีนี่ให้จ้างไกด์ท้องถิ่นจะสะดวกกว่าการมาเองมาก เพราะนอกจากเรื่องการสื่อสารแล้ว การเดินทางแบบเหมารถ และที่พักตอบโจทย์การเที่ยวประเทศนี้มาก ๆ ใครอยากได้คอนแท็คไกด์หลังไมค์มาได้เลย เรามีหลายเจ้าแนะนำ

Day 1 : Bangkok to Irkutsk 

Day 2 : Listvyanka หมู่บ้านชาวประมงพร้อมเล่น Dog Sledding

Day 3 : Irkutsk – Olkhon Island

Day 4 : Olkhon Island South Route

Day 5 : Olkhon Island North Route 

Day 6 : Olkhon Island – Irkutsk 

Day 7 : Irkutsk to Bangkok

Day 1

Flights Bangkok to Irkutsk

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังทะเลสาบไบคาลนั้น เราจำเป็นต้องนั่งเครื่องไปลงที่เมือง Irkutsk กันก่อน ซึ่งที่นี่เป็นเมืองหลวงของแคว้นอีร์คุตสค์ ประเทศรัสเซีย และยังเป็นหนึ่งในเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแถบไซบีเรีย โดยตอนนี้มีแค่สายการบิน S7 Airlines เท่านั้นที่มีบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิสู่สนามบินอีร์คุตสค์ ใช้เวลาราว ๆ 6 ชั่วโมง ราคาทีเราได้รวมกระเป๋า 24 กิโลกรัม ประมาณ 25,000 บาท

เส้นทางการจอง : https://www.s7.ru/en/

Day 2 

เริ่มเช้าวันที่สองของการเดินทาง รถเช่า และไกด์ที่ทำการจองล่วงหน้าก็มารับพวกเราที่โรงแรม และเดินทางมายัง  Listvyanka หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ด้านตะวันตกของทะเลสาบไบคาล ใช้เวลาเดินทางราว ๆ 1-2 ชั่วโมง อากาศช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่เราไปติดลบ 10 – 20 องศา ถือว่าค่อนข้างโอเคนะ ถ้าใครมาช่วงต้น ๆ เดือนอาจจะเจอติดลบ 30 – 40 องศาได้ และด้วยความหนาวสุดโหดแบบนี้ ทำให้น้ำที่อยู่ในทะเลสาบแข็งจนกลายเป็นถนนให้ผู้คนลงไปเดินเล่นถ่ายรูปได้ และถามว่ามันแข็งขนาดไหน ขอตอบว่ามันแข็งจนรถที่หนักหลาย ๆ ตันวิ่งได้สบาย 

โดยจุดแรกที่ไกด์ แวะให้เราชมคือบริเวณจุดเชื่อมระหว่างแม่น้ำ Angara และทะเลสาบ Baikal โดยตรงนี้เราจะเห็นจุดตัดกันระหว่างแม่น้ำที่ไม่เป็นน้ำแข็ง และทะเลสาบที่แข็งตัว เป็นหนึ่งในโลเคชั่นแรกที่รู้สึกว้าวมากที่เห็นครั้งแรก

หลังแวะทานข้าวเที่ยงเสร็จ ไกด์ก็พาเรามาสัมผัสพื้นน้ำแข็งบนทะเลสาบไบคาลกันครั้งแรก เป็นความแปลกใหม่ที่หนึ่งในชีวิตเราเคยเดินบนทะเลสาบน้ำจืดที่ได้ชื่อว่าลึกที่สุดในโลก โดยบริเวณนี้เราจะได้เห็นการแกะสลักน้ำแข็งเป็นรูปทรงต่าง ๆ มีลานสเก็ต ร้านอาหาร ร้านคาเฟ่สุดชิคให้เราได้จอยกัน

 ถ่ายรูปกันจนจุใจ ก็มาถึงหนึ่งในไฮไลต์ของทริปนี้กับกิจกรรม Dog Sledding หรือหมาลากเลื่อนที่เป็นการนั่งบนแคร่ ให้เจ้าสุนัขเกือบ 10 ตัวลากเราไป ถือเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ของคนที่นี่ ที่ใช้สุนัขในการเดินทาง ขนส่งสินค้าต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะสงสัยว่าไม่สงสารน้องเหรอโน่นนี่นั้น ขอบอกเลยว่าน้องเค้าชอบในการวิ่งมากเพราะสุนัขที่นี่ถูกสอนมาไว้วิ่งโดยเฉพาะ ถ้ามันไม่ได้วิ่งมันหงุดหงิดแทน และเพื่อเป็นการสนองนีทของน้อง ๆ พวกเราก็ขอจัดเต็มไปหนึ่งรอบใหญ่ ๆ เลย

โดยค่าใช้จ่ายต่อรอบจะอยู่ที่ 1700 รูเบิล สามารถนั่งราว ๆ 5 – 10 นาที แต่เชื่อเถอะมันจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆที่รู้สึกแสนยาวนานทั้งเจ็บก้น ทั้งหนาว แต่ก็สนุกเช่นกัน ใครมาเที่ยวแถบไซบีเรีย แล้วไม่ได้ลองนั่งน้อง ถือว่ามาไม่ถึงกันนะ และขอแนะนำให้มาที่ฟาร์ม Baikal Dog Sledding Center น้อง ๆ น่ารักรอต้อนรับเราอยู่เพียบ

Day 3

วันนี้เราจะทำการโย้กย้ายพร้อมเก็บข้าวของไปนอนบนเกาะโอลคอน (Olkhon) 3 คืนด้วยกัน โดยใช้เวลาเดินทางราว ๆ 5-6 ชั่วโมง ระยะกว่า 300 กิโลเมตร โดยเกาะโอลคอน (Olkhon) เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบไบคาล ที่เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ลึกที่สุดในโลก การเดินทางส่วนมากจะอาศัยเรือเป็นพาหนะหลัก แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี ความหนาวเย็นจะเริ่มเข้ามาปกคลุมที่นี่ ทำให้อากาศติดลบถึง 40 องศา และทำให้ฝืนน้ำของทะเลสาบจะค่อย ๆ กลายเป็นน้ำแข็ง จนมีความหนาราว ๆ 1-2 เมตร ทำให้รถยนต์นั้นวิ่งข้ามเกาะได้สบาย ส่วนท่าเรือนั้นก็จะปิดจนกว่าน้ำแข็งละลายกลับมาเป็นปกติ

หมู่บ้าน Khuzhir ที่เปรียบเหมือนเมืองหลวงของเกาะ Olkhon มีประชากรราว ๆ 1,700 คน โดยคนส่วนใหญ่จะทำอาชีพประมงเพราะอยู่ติดกับแหล่งน้ำจืดที่มีความอุดรสมบูรณ์ มีปลาหลากหลายชนิด จนทำให้ที่นี่มีอุตสาหกรรมผลิตปลากระป๋อง และโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์จากปลามากมาย แต่ด้วยปัจจุบันรัฐบาลสั่งให้โรงงานหยุดผลิตเพื่ออนุรักษ์พันธุ์ปลาท้องถิ่นหายากให้ได้เติบโต หลาย ๆ โรงงานจึงต้องปิดตัวลง แต่ปัจจุบันอาชีพหลักของคนที่นี่จะเน้นไปในทางท่องเที่ยวซะส่วนใหญ่ ทั้งบริษัททัวร์ โฮมสเตย์ และรถนำเที่ยวนั้นเอง

เราเดินทางมาถึงที่หมู่บ้าน Khuzhir ราว ๆ 3 – 4 โมงเย็น ที่พักของเราบนเกาะนี้จะเป็นบ้านคล้ายโฮมสเตย์ มีคุณป้าหน้าตาดุ แต่ใจดียืนต้อนรับอยู่ ตัวอาคารหลัก ๆจะสร้างด้วยไม้สน ที่มีกลิ่นหอมอบอวลทั่วห้อง ให้ความรู้สึกอบอุ่น และผ่อนคลาย มีเตียงนอนที่นุ่ม ผ้าร่มที่หนา และมีห้องน้ำที่น้ำค่อนไปทางร้อน แค่นี้ก็ถือว่าโอเคสำหรับ 3 คืนของพวกเราบนเกาะโอลคอนนี้แล้วแหละ

วันนี้ไม่มีอะไรมากเพราะมาถึงก็เย็นแล้ว ทำให้ได้แค่เดินเล่นชมเมือง และไปถ่ายรูปที่บริเวณแหลม Burkhan ที่มีไฮไลต์เป็นโขดหิน Shamanka หรือ Shaman Rock ที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาว Buryat ชาวพื้นเมืองเชื้อสายมองโกลที่อาศัยอยู่ในแถบไซบีเรีย โดยที่นี่ในอดีตบริเวณนี้เคยเป็นหนึ่งในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวพุทธฯ ที่เอาไว้ใช้จัดพิธีกรรมมากมาย และคนท้องถิ่นยังเชื่อว่าที่นี่เคยเป็นที่อาศัยของพ่อมดหมอผีอีกด้วย แต่ปัจจุบันที่นี่ได้กลายเป็นแลนด์มาร์คจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยอดฮิตของเมืองนี้ไปแล้ว

ใกล้ ๆ กันเราจะเห็นเสาศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้นับถือนำผ้าหรือธงมนต์สีสันสดใสมาผูกกันเรียงเป็นแถว เพื่อแสดงการศักการะเทพเจ้า และภูติผีที่ปกปักษ์รักษาผืนดินแห่งนี้

Day 4

เช้าวันแรกบนเกาะโอลคอนเราจะเก็บแลนด์มาร์คต่าง ๆ ฝั่งใต้กันก่อน โดยช่วงที่เราเดินทางบนเกาะนี้จะเปลี่ยนพาหนะจากรถตู้หลายสิบที่นั่งมาเป็น UAZ Russia Van รถตู้สุดคลาสสิกที่นั่งได้ประมาณ 6 – 7คน เห็นเล็ก ๆ แบบนี้บอกเลยว่าเป็นรถที่วิ่งบน Ice Road ได้ดีมาก ยางติดเกาะพื้นน้ำแข็งอย่างดีไม่มีดริฟแน่นอน

ที่แรกที่มาคือ Ostrov Khanrantsy ฟีลเหมือนหินงอก หินย้อยบ้านเรา แต่อันนี้จะเรียกว่าเป็นน้ำแข็งย้อยก็ไม่ผิด มีมุมตามซอกถ้ำที่ถ่ายรูปได้สนุก แต่เอาจริง ๆ ข้อเสียของการมาเที่ยวที่อากาศหนาวจัด ๆ มันทำให้อรรถรสในการถ่ายภาพของเราลดน้อยลง ใส่ถุงมือก็ไม่ถนัด จะควักมือถือมาถ่ายก็เย็นมือ แต่มันสวยอะเนอะ จะห้ามใจไม่ได้ยังไงไหว!

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ต้องมาดูกันคือเจ้าบับเบิ้ล (Bubble) คือฟองอากาศใต้น้ำแข็ง ที่เกิดจากการถูกฟรีซฉับพลัน บวกด้วยก๊าซออกซิเจนปริมาณมาก บับเบิ้ลบางที่ จะผสานก๊าซมีเทนที่โรงงานบางแห่งปล่อยออกมาด้วย ก็จะได้ลักษณะฟองแตกต่างกัน บริเวณนี้เรายังได้เห็นรอยแยกของทะเลสาป หรือที่เรียกว่า FROZEN LAKE แต่ด้วยที่พื้นไม่ค่อยเรียบในปีนี้เลยทำให้เจ้าฟองอากาศ และพื้นน้ำแข็งของเราดูไม่ชัดเท่าไหร่

เที่ยวกันมาครึ่งวันรถพาเรามาจอดกลางทะเลสาบ พร้อมกับคนขับที่เดินมาหลังรถคว้ากล่องอุปกรณ์ และชุดโต๊ะเก้าอี้มาจัดมื้อเที่ยงให้พวกเราทานกัน โดยเมนูที่ส่วนใหญ่จะได้เห็นกันคือซุปมันฝรั่งร้อน ๆ ที่มีเนื้อปลาปะปนอยู่นิดนึง มาพร้อมขนมปังก้อนโตที่ค่อนข้างแข็ง เอาเป็นว่าทานแก้หนาวได้ แต่ถ้าเอาอิ่มแนะนำให้พกขนมปัง หรือมาม่าติดเป้ไปด้วย

หลังทานข้าวเสร็จเราก็มาจบกันที่ไฮไลต์จุดสุดท้ายของวันกับโลเคชั่นสุดแปลกตาที่ Cape Dragon Island Ogoy หรือ Dragon Tail โขดหินที่มีรูปร่างแปลกตา แนะนำให้ยืนถ่ายรูปบริเวณด้านหน้า จะเห็นเป็นปลายแหลมคล้าย ๆ หางของมังกร( อันนี้จินตนาการเองล้วน ๆ )

Day 5

วันนี้จะเป็นการพาไปทัวร์ฝั่งเหนือของเกาะโอลคอน ที่เดินทางค่อนข้างไกลนิดนึง แต่วิวคือสวยปังไม่แพ้ฝั่งใต้เลย เริ่มกันที่แรกกับ Khoboi Cape หรือคล้าย ๆ ถ้ำน้ำแข็ง จุดเด่นของฝั่งเหนือคือตัวก้อนน้ำแข็งจะมีขนาดใหญ่ และเยอะกว่าฝั่งใต้มากพอสมควร มีน้ำแข็งย้อยให้เราได้เลือกมุมถ่ายรูปกันเต็มไปหมด 

ก้อนน้ำแข็งสี่เหลี่ยมแผ่นโตที่กระจัด กระจายอยู่เต็มบริเวณนี้ เป็นอีกหนึ่งภาพที่เราชอบมากที่สุดของทริปนี้เลย

จุดต่อมาที่ไกด์พาเรานั่งรถราว ๆ 30 นาทีมาคือ Cape Khoboy ที่เป็นพื้นที่กว้าง ๆ และมีแผ่นน้ำแข็งที่ก้อนโตกว่า และใสกว่าจุดแรกที่เราแวะ กระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด โดยบริเวณ Cape Khoboy เราสามารถเดินลุยเข้าไปถ่ายรูปได้เลย เป็นมุมที่แปลกตา และความงดงามนี้ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมถึงได้ฉายาว่า Blue Eyes of Siberia หรือดวงตาสีฟ้าแห่งไซบีเรียนั้นเอง  

บริเวณ Cape Khoboy จะเป็นจุดนีพวกเราจะแวะทานข้าวเที่ยงกัน แต่ถ้าใครอยากดื่มกาแฟ และลิ้มลองปลาท้องถิ่น บริเวณนี้ก็มีรถมาตั้งขายนะ

มาถึงไฮไลต์สุดท้ายของวันด้วยการดื่มวอสก้าแบบฉบับชาวเกาะโอลคอลกัน โดยพี่คนขับจะนำสว่านมาเจาะพื้นน้ำแข็งให้เป็นรู แล้วเทน้ำวอสก้าลงไป หลังจากนั้นจะให้พวกเรานอนราบไปกับพื้นพร้อมเอาหลอดดูด ถือว่าเป็นอันจบทริปการมาเที่ยวทะเลสาบไบคาลอย่างสมบูรณ์ ลืมบอกไปเลยว่าบนเกาะโอลคอนนี้ใครเป็นสายแฮงค์เอ้าท์ต้องเลิฟแน่นอนเพราะราคาเครื่องดื่มต่าง ๆ ถูกมาก

Day 6

ถึงเวลาโบกมือลา Olkhon Island  และเดินทางกลับมายังเมืองหลวง Irkutsk ของเรากันแล้ว หลังจากเก็บของพร้อมเช็คอินกันเสร็จ ช่วงเย็น ๆ เราก็ออกมาเดินชิลล์ ๆ ตรงบริเวณโซน Center ที่อยู่ติดกับแม่น้ำ Angara River โดยบริเวณนี้จะไม่ค่อยมีแลนด์มาร์คไหนเป็นจุดเด่นเท่าไหร่ แต่ได้ฟีลเดินเล่นรับลมหนาวก่อนบินกลับไปเจออากาศร้อน ๆ กัน

ใกล้ ๆ กัน จะมี Sobor Bogoyavlensky เป็นมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองที่ได้รับการจัดอยู่ในสถานที่สำคัญแห่งสหพันธรัฐในปีพ. ศ. 2503 โดยภายในจะประกอบไปด้วยอาคารที่ได้รับการสวมมงกุฎด้วยหอระฆังปั้นหยา มาพร้อมการตกแต่งของมหาวิหารที่ดูสวยงาม และมีเอกลักษณ์แบบรัสเซียเก่า มีลวดลายไซบีเรียแบบดั้งเดิมผสมผสานแบบบาร็อค และมีการใช้กระเบื้องมากกว่า 300 ชิ้น เพื่อการตกแต่งภายในได้อย่างสวยงามลงตัว

Kazan Church อีกหนึ่งโบสถ์ที่เป็นแลนด์มาร์คประจำเมืองนี้ มาพร้อมรูปทรงเด่นเป็นสง่า ตกแต่งด้วยสีแดงจัดจ้าน ที่ถ้ามาช่วงฤดูหนาวบริเวณด้านนอกจะมีการตกแต่งประติมากรรมแกะสลักน้ำแข็งน่ารัก ๆ อยู่เต็มสวนไปหมด

ตามที่เราศึกษามาช่วงที่เกิดสงคราม โบสถ์จะถูกพวกทหารเผาเป็นอันดับต้น ๆ เพราะพวกทหารเชื่อว่าโบสถ์ถือว่าเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนเมืองนี้ ทำให้เราจะไม่ค่อยได้เห็นโบสถ์เมืองนี้ไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อช่วงปี 1885-1892 หลังสงครามจบ ผู้คนชาวบ้านต่างร่วมใจกันสร้างโบสถ์นี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นโบสถ์ประจำเมืองนี้จนถึงปัจจุบัน

นอกจากโบสถ์ที่สวยแล้ว สีของบ้านเรือนที่นี่ก็เด่นไม่แพ้กันเพราะชาวเมืองที่นี่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ ถ้าเราตกแต่งสีบ้านให้ดูสดใส หรือมีสีสัน จะทำให้เราป้องกันความชั่วร้ายจากบนฟ้า และใต้พิภพได้

ขอปิดท้ายด้วยสัญลักษณ์ของเมืองอย่าง ” Babr Sculpture “ที่เป็นสัตว์ในตำนานลูกครึ่งระหว่างเสือกับตัวบีเวอร์ โดยรูปปั้นนี้นำแบบมาจากตัวละครในเทพนิยาย ซึ่งสัตว์ทั้งสองนี้มีความกล้าหาญ ซึ่งเปรียบดั่งเมืองอีร์คุตสค์ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของไซบีเรีย ถ้าจะอยู่ในแถบนี้ได้ต้องเข้มแข็ง และกล้าหาญ จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ของเมืองนี้นั้นเอง

จบทริป Lake Baikal ที่นอกจากอากาศหนาวเย็นสุดขั้วหัวใจแล้ว ใครอยากเจอประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ๆ อย่างเดินบนทะเลสาบน้ำแข็งที่เก่าแก่ และลึกที่สุดในโลก หรือนั่งให้น้องหมาฮอกกี้ลากเลื่อน เราว่าพวกแกต้องชอบทริปนี้แน่นอน

,

Leave a Reply

Your email address will not be published.