Road Trip หนีความวุ่นวาย ไปพักกายให้หายเหนื่อยที่จังหวัด “Yamaguchi” กัน
ฟีลเมืองชนบทน่ารัก ๆ ติดทะเล และเงียบสงบ ที่มีความปังทั้งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งกำเนิดซามูไร แถมมีวิวสวย ๆ อลังการดูแปลกตา เหมาะสำหรับคนที่มองหาสถานที่พักผ่อนกับธรรมชาติแบบชิลล์ ๆ
ไฮไลต์นอกจากอาหารทะเล ที่เค้าว่ากันว่าสดและดีที่สุดไม่แพ้ที่อื่นในญี่ปุ่นแล้ว ยังมีเมนูหาทานยากอย่าง “เนื้อปลาปักเป้า” ที่เป็นไอเท็มสุดแรร์ของจังหวัดนี้ แถมที่นี่ยังมีคาเฟ่สุดชิคสไตล์มินิมอลริมทะเลให้เราเช็กอิน มีแลนด์มาร์กวิวหลักล้านเป็นศาลเจ้า สะพานข้ามแม่น้ำเก่าแก่ และถ้ำหินปูนที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นซ่อนตัวอยู่ ไม่อยากเชื่อเลยว่าทั้งหมดที่ว่ามาจะอยู่ในจังหวัดนี้!
เสน่ห์ของเมืองน่ารักติดทะเล จะคุ้มค่ากับการไปเช็กอินขนาดไหน แนะนำว่าให้ไปสัมผัสกับตัวเองสักครั้ง เดินทางง่าย เพราะไปจากฝั่งคิวชูได้ แถมมีแหล่งท่องเที่ยวสวย ๆ เยอะ ถ่ายรูปออกมาคือปัง สำหรับคนที่ชอบทะเล รักธรรมชาติ แต่ติดแกรมหน่อย ๆ ที่นี่คือเหมาะสุด จะมีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ไปดูพร้อมกันเลย!
Travel Plans Yamaguchi Trip
Day 0 : Bangkok – Fukuoka
Day 1 : Fukuoka – Shimonoseki – Nagato
- Kawara Soba Honten Otafuku
- Sig co. Cafe
- Zero Cafe
- Tsunoshima Bridge
- Motonosumi Inari
Day 2 : Mine – Yamaguchi
- Ohmine Shuzou
- Beppu Benten Pond
- Akiyoshido Cave
- Yudaonsen Station
- Shunraiken
Day 3 : Iwakuni – Shimonoseki – Fukuoka
- Kintai-kyo Bridge
- Choshuya Kintaikyo-ten
- Battle of Dan-no-ura
- Roy Cafe
- Karato Fish Market
Flight Bangkok to Fukuoka
เดินทางรอบนี้ง่ายมาก เพราะ Thai Vietjet Air มีเที่ยวบินตรงจากสุวรรณภูมิไปฟุกุโอกะ ถึง 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ ตอบโจทย์ที่ว่าญี่ปุ่นก็แค่ปากซอยสุด ๆ และด้วยความบินตรง ทำให้เราได้พักผ่อนบนเครื่องแบบเต็มอิ่ม รู้ตัวอีกทีก็ถึงฟุกุโอกะ และอีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบเดินทางกับทาง Thai Vietjet Air คือเบาะที่นั่งเค้ากว้างขวาง แถมมีเมนูอาหารให้เราเลือกมากมาย นั่งเพลิน ๆ ทานของอร่อย ๆ แป๊บเดียวก็บินลัดฟ้าถึงประเทศญี่ปุ่นแล้วว
เส้นทางการจอง : https://th.vietjetair.com/
เมือง Shimonoseki
001 Kawara Soba Honten Otafuku
เริ่มต้นให้เข้าบรรยากาศดี ๆ ใน Yamaguchi ด้วยการมานั่งกินโซบะในสไตล์ญี่ปุ่น ที่ร้าน Kawara Soba Honten Otafuku กับเมนู คาวาระโซบะ ขึ้นชื่อในเมืองนี้ จุดเด่นของร้านคือการเสิร์ฟบนแผ่นเตากระเบื้องร้อน ๆ มาพร้อมเส้นโซบะสีเขียว ที่เป็นการผสมชาเขียวลงไปกับเส้น รสชาติดี เส้นเหนียวนุ่ม เข้ากับดีกับท็อปปิ้งด้านบน แค่ซู้ดเส้นคำแรก ก็สัมผัสได้ถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบที่เลือกมาอย่างดี เป็นมิติใหม่ของการกินโซบะมาก อะเมซิ่งสุด ๆ
ประทับใจอีกอย่างคือบรรยากาศร้าน ที่ด้านนอกมีความร่มรื่น ด้านในให้ฟีลอบอุ่นเหมือนบ้าน มีความเรียบง่ายเป็นกันเอง มีความเป็นญี่ปุ่น แบบผสมผสานการตกแต่งระหว่างสไตล์ใหม่และดั้งเดิมได้ลงตัว ลูกค้าเลือกนั่งได้ด้วยว่าจะนั่งบนเบาะกับโต๊ะญี่ปุ่นหรือนั่งเก้าอี้ ใครมาเที่ยวจังหวัดนี้ห้ามพลาดกับเมนูนี้เด็ดขาด
002 Sig co. Cafe
มาเช็กอินคาเฟ่คิ้วท์ ๆ กันต่อที่ Sig co. Cafe คาเฟ่ที่มีโลเคชั่นสุดปัง เพราะอยู่ติดกับทะเล ตกแต่งร้านน่ารักเรียบง่าย ตัวร้านเป็นคาเฟ่เล็ก ๆ แต่ฟีลดีมาก ภายในทำจากไม้สีอ่อน คุมโทน กับหลังคาแบบเปิดช่องใส ๆ ให้แสงผ่านเข้า ช่วยสร้างบรรยากาศให้เหมือนเรามาพักผ่อนในช่วงซัมเมอร์ตลอดเวลา รู้สึกชิลสุด ๆ
ถูกใจตรงที่พนักงานร้านน่ารักเป็นกันเอง มีเครื่องดื่มให้เลือกหลายแบบทั้งกาแฟและเมนูอย่างมัทฉะ สตรอว์เบอรรี มีเบเกอรี่เป็นแซนวิซและเมนูอื่น ๆ มากมาย เหมาะกับการมานั่งพักผ่อน รองท้องก่อนเที่ยวต่อ แนะนำให้ออกมานั่งระเบียงด้านนอก แล้วหันหน้ารับลมทะเล ลมวิวคลื่น ที่แสงแดดตกกระทบเป็นประกายวิบวับ รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงกับการนั่งดูวิวทะเลเวิ้งกว้าง ๆ แบบนี้
003 Zero Cafe
มาฮอปกันต่อที่คาเฟ่บนดอยสูงกันบ้าง กับร้าน Zero Cafe ที่บอกว่าดอยสูง ไม่ใช่ตั้งบนภูเขาเป็นดอยแบบบ้านเราแต่อย่างใด แต่เป็นคาเฟ่สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ คล้ายกล่องมีโลเคชั่นอยู่บนเนิน สามารถมองเห็นวิวทะเลมุมกว้างได้รอบด้าน ตัวกาแฟหลักร้อย แต่วิวหลักล้านเวอร์ ที่นี่ไม่ได้เหมาะแค่มานั่งจิบกาแฟชิมวิวรับลมทะเลเท่านั้นนะ แต่ยังเหมาะกับสายฮิปสเตอร์ มินิมอลลิสต์ ที่ชอบความน้อยแต่มาก เรียบ ๆ แต่ดูดี เพราะร้านตกแต่งด้วยโทนสีขาวเรียบ ๆ แต่ใส่กิมมิกด้วยโลโก้ร้าน และหน้าต่างกระจกบานกว้างไว้ดูวิวทะเล
ถูกใจตรงที่พนักงานร้านน่ารักเป็นกันเอง มีเครื่องดื่มให้เลือกหลายแบบทั้งกาแฟและเมนูอย่างมัทฉะ สตรอว์เบอรรี มีเบเกอรี่เป็นแซนวิซและเมนูอื่น ๆ มากมาย เหมาะกับการมานั่งพักผ่อน รองท้องก่อนเที่ยวต่อ แนะนำให้ออกมานั่งระเบียงด้านนอก แล้วหันหน้ารับลมทะเล ลมวิวคลื่น ที่แสงแดดตกกระทบเป็นประกายวิบวับ รู้ตัวอีกทีก็ใช้เวลาไปเป็นชั่วโมงกับการนั่งดูวิวทะเลเวิ้งกว้าง ๆ แบบนี้
004 Tsunoshima Bridge ( สะพานทสึโนะชิมะ โอฮาชิ )
มาเช็กอินแลนด์มาร์คใน Yamaguchi กันบ้าง กับสะพานที่สวยงามอลังการซะจนเหมือนหลุดออกมาจากอนิเมะสักเรื่อง ที่ว่ามาอาจดูเหมือนเวอร์ไป แต่ไม่เลย เพราะสะพานแห่งนี้เป็นสะพานที่สวยที่สุดอีกแห่งในญี่ปุ่นเลยทีเดียว ด้วยความยาวของสะพานที่ทอดพาดผ่านทะเลผืนสีครามไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามเกินบรรยาย
วันไหนอากาศแจ่มใส ท้องฟ้าเป็นใจ ถ้าได้มองวิวจากด้านบน จะเห็นความงามได้ชัดเจน ด้านซ้ายที่เป็นภูเขาสีเขียวเล็ก ๆ ด้านขวาเป็นระเบียงชมวิว ให้นักท่องเที่ยวมาเดินชมวิวและถ่ายรูป มีสะพานสีอ่อนคั่นตรงกลางให้รถขับผ่าน มีด้านล่างเป็นทะเลสีฟ้าสดใส และมีปลายทางเป็นเกาะอีกฝั่ง มองดูแล้วเป็นเหมือนสถานที่สวยงามเหนือจินตนาการ ตั้งแต่เท้าเหยียบที่นี่ รู้สึกว่าใช้คำว่าสวยได้เปลืองสุด ๆ แถมวิวตรงระเบียงชมวิว ก็สวยงามไม่แพ้กัน มีงานปั้นเล็ก ๆ เป็นไอคอนคล้ายรูปทรงคลื่นตั้งอยู่ เหมาะกับเป็นจุดเช็กอินถ่ายรูปที่สุด
เมือง Nagato
005 Motonosumi Inari ( ศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ )
มาปิดท้ายวันด้วยการชมวิวแลนด์มาร์คที่สวยงามอีกแห่งไม่แพ้ที่อื่น กับศาลเจ้าโมโตโนสุมิ อินาริ ศาลเจ้าที่หันหน้าเข้าหาทะเล เป็นศาลเจ้าที่ติดอันดับงดงามที่สุด จริง ๆ คือพอมาถึงแล้วไม่รู้สึกแปลกใจเลย เพราะสวยตั้งแต่ทางเข้าแล้ว โลเคชั่นของศาลเจ้าตั้งอยู่บนเนินสูงยอดผา ทำให้เห็นวิวทะเลสุดลูกหูลูกตา มีแนวหินรูปร่างแปลกตาที่เกิดจากคลื่นทะเลซัด บวกกับไฮไลต์เด่นเป็นเสาโทริอิสีแดงกว่า 123 ต้น ทอดยาวเรียงรายจากริมผาไปจนถึงศาลเจ้า ดูโดดเด่นตัดกันชัดเจนกับทิวทัศน์ธรรมชาติรอบ ๆ นอกจากนี้ยังมีปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดจากคลื่นกระทบรูบริเวณหน้าผา ทำให้ละอองน้ำทะเลลอยพุ่งขึ้นมา เห็นเป็นเหมือนน้ำพุ ที่ดูสวยงามจนนิยายคำว่าสวยยังไม่พอ
มาถึงทั้งทีแนะนำให้เดินชมบรรยากาศรอบ ๆ ให้ทั่ว เพราะมีจุดชมวิวปัง ๆ หลายมุม ถ้ามองจากมุมศาลเจ้าด้านบนลงมา จะเห็นวิวสวยงามอลังการ มองเห็นได้ครบทั้งทะเลสีคราม เสาโทริอิสีแดง และวิวหน้าผากับต้นไม้สีเขียว ถ้าใครอยากได้มุมภาพเก๋ ๆ ต้องไปเดินถ่ายรูปลอดใต้ซุ้มเสาโทริอิ ถึงทางเดินจะดูสูงชัน แต่ทางสะดวกเดินง่าย แนะนำค่อย ๆ เดินเล่นถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ ซึมซับบรรยากาศดี ๆ ไป จะได้ไม่รู้สึกเหนื่อยมาก
เมือง Mine
006 Ohmine Shuzou
เริ่มต้นวันที่สองด้วยการมานั่งตากอากาศเย็น ๆ ที่คาเฟ่ Ohmine Shuzou สไตล์โมเดิร์นลอฟต์ ที่ให้ฟีลโรงงาน เพราะจริง ๆ แล้วที่นี่เป็นโรงงานกลั่นสาเกที่กลับมาเปิดกิจการอีกครั้งในปี 2010 หลังจากหายไป 50 ปี ด้วยเสน่ห์ความดั้งเดิมนี้เองทำให้บรรยากาศรอบ ๆ ยังคงร่มรื่นเป็นธรรมชาติ เพราะบริเวณนี้ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี มีภูเขาลูกโตอยู่ด้านหลังร้าน ทำให้อากาศที่นี่เย็นสบาย จะมาช่วงเช้า ช่วงบ่าย ช่วงเย็น ก็สามารถจอยกับร้านแห่งนี้ได้ตลอด
ที่โอมิเนะ ชูโซว เป็นโรงสาเกรุ่นบุกเบิก ที่มีแนวคิดทันสมัย เรียกได้ว่าเป็นสาเกขึ้นชื่อจากที่นี่ ใครที่อยากมาเที่ยวชม สามารถมาเช็กอินที่คาเฟ่ได้ บรรยากาศด้านใน ยังคงรักษากลิ่นอายความเป็นโรงกลั่นสาเกเอาไว้ ใส่ดีเทลไปกับผนัง หลอดไฟ ไปจนถึงโต๊ะวางของตกแต่ง มีโลโก้ร้านแฝงอยู่ทั้งสินค้าของที่ระลึก แก้วที่ใช้เสิร์ฟ ซึ่งเป็นโลโก้เดียวกับขวดสาเกที่ผลิตและส่งไปทั่วโลก ส่วนเมนูที่ให้บริการก็มีหลากหลาย ทั้งเครื่องดื่มอย่างเมนูช็อกโกแลตร้อน ที่เข้มข้นสะใจ และ Cola Float ที่ไอศกรีมท็อปมาบนเครื่องดื่มโคล่า ปิดด้วยเบเกอรีอย่าง Sakekasu Cheese cake รวม ๆ แล้วรสชาติดี แนะนำว่าควรค่าแก่การมาสักครั้ง
007 Beppu Benten Pond ( บ่อน้ำเบปปุเบนเท็น )
ก่อนที่เราจะไปเที่ยวไฮไลต์ของเมือง Mine ก็ถือโอกาสขอแวะเที่ยวชมบ่อน้ำผุดที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน 100 แหล่งน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศญี่ปุ่นกันก่อน โดยตัวบ่อจะมีขนาดไม่ใหญ่มาก เกิดจากน้ำพุใต้ดินของที่ราบสูงอากิโยชิได ตัวน้ำจึงมีความใส ใสชนิดสามารถมองเห็นก้นบึงเลย และด้วยสีฟ้าของตัวน้ำ ทำให้เรานั่งมองความสวยงามของที่นี่ไม่มีเบื่อ
นอกจากนั้นที่นี่มีประวัติศาสตร์เล่ามา เมื่อในอดีตผู้ที่มาบุกเบิกและอาศัยอยู่ที่นี่ เกิดประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ จึงได้เซ่นไหว้ต่อเทพเจ้าเบ็นไซเต็ง ให้พื้นที่แห่งนี้มีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ต่อจากนั้นไม่นานก็เกิดมีบ่อน้ำผุดนี้ขึ้นมา ต่อมาที่นี่เลยก่อตั้งศาลเจ้าให้ผู้คนที่ผ่านมาได้กรายไหว้พร้อมชมความสวยงามของบ่อน้ำไปพร้อม ๆ กัน
008 Akiyoshido Cave ( ถ้ำอากิโยชิโด )
นั่งเสพบรรยากาศที่คาเฟ่จนอิ่มใจก็มาต่อกันที่ถ้ำหินปูนเก่าแก่ ถ้ำอากิโยชิโด เป็นถ้ำหินปูนที่ยาวและใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีขนาดความยาวถึง 9 กิโลเมตร แถมอยู่มายาวนานเป็นร้อยล้านปี ใครเป็นสายผจญภัย ชอบความกรีน ๆ เขียวชะอุ่ม ได้ใกล้ธรรมชาติ ต้องมาแวะเช็กอินเลยที่นี่กัน
ไฮไลต์ด้านในถ้ำ เป็นหินงอกหินย้อนรูปร่างต่าง ๆ ให้เราได้ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ สามารถเข้าไปถ่ายรูปกับวิวธรรมชาติสวย ๆ ได้ บริเวณรอบ ๆ ถ้ำ ก็มีวิวที่สวยงามไม่แพ้กัน น้ำมีสีฟ้าสดใส เหมือนน้ำแร่ที่ไหลออกมาจากหุบเขา บางจุดเป็นน้ำตก และมีต้นไม้สูงใหญ่ให้ร่มเงา ทำให้การมาที่นี่เหมือนมาฟอกปอด บำบัดจิตใจให้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติ รู้สึกสดชื่นมาก ๆ
นอกจากอากาศที่เย็นสบายของที่นี่แล้วรอบ ๆ ถ้ำยังมีความอุดมสมบูรณ์มาก แถมยังได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ลำธาร และน้ำตก มีหินงอกหินย้อยตลอดทางเดินภายในถ้ำ ไม่ต้องกลัวอึดอัดคับแคบ เพราะมีไฟเปิดตลอดทาง มีป้ายบอกข้อมูลและอากาศด้านในเย็นสบาย
ส่วนใครเป็นขาช็อป บริเวณถนนคนเดินก่อนเข้าไปยังตัวอุทยาน จะมีร้านขายของมากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านของฝาก รวมถึงก้อนหินหลากสีที่นำมาทำเป็นกำไร ตุ้มหู แหวนอีกด้วย
เมือง Yamaguchi
009 Yudaonsen Station
หลังจากเต็มอิ่มกับธรรมชาติ เราขอแนะนำแลนด์มาร์คสุดน่ารักอีกที่ในเมือง ที่เป็นรูปปั้นเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวโตหน้าสถานี Yudaonsen ที่บริเวณนี้จะมีบ่อน้ำพุให้เราได้นั่งแช่เท้าแบบฟรี ๆ โดยตำนานเล่าว่าเมื่อประมาณ 600 ปีก่อน น้ำพุร้อนแห่งนี้ถูกค้นพบโดยจิ้งจอกขาวที่ได้รับบาดเจ็บ และได้รักษาบาดแผลในน้ำพุแห่งนี้จนหายดี ต่อมาที่นี่จึงถูกตั้งชื่อว่าเป็นบ่อน้ำพุร้อนจิ้งจอกขาวจนถึงปัจจุบัน อยากจะบอกว่าใครขับรถมาทั้งวัน การได้นั่งแช่เท้าเป็นอะไรที่ฟิน และสบายมาก ถึงช่วงแรกจะร้อนแต่ถ้าผ่านมันไปได้ แทบจะไม่อยากลุกออกไปไหนเลยแหละ
010 Shunraiken
ปิดท้ายวันด้วยการมาแวะกินเมนูเส้นที่ร้าน Shunraiken กับเมนูบาริโซบะและจัมปง ใครที่อยากลองโซบะแนวอื่นบ้าง ต้องมาร้านนี้เลย เพราะบาริโซบะ จะให้ความรู้สึกแตกต่างตรงที่เส้นโซบะทอดชิ้นหนา มาพร้อมกะหล่ำปลี ต้นหอม เห็ดหูหนู และเนื้อหมู ทีแรกตัวเส้นจะมีความกรุบกรอบ แต่ด้วยความเสิร์ฟมาพร้อมซุปพอเวลผ่านไปตัวเส้นที่เคยกรอบจะดูดซับน้ำซุปเข้าไป สัมผัสของเส้นนุ่มลงและทำให้รสชาติของเส้นเข้มข้นมากขึ้น แนะนำให้ลองกินแบบกรอบ ๆ พร้อมซุปดูก่อน แล้วค่อยกินแบบนุ่มจะทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกัน
ส่วนอีกจานจัมปง จะเสิร์ฟแบบมีน้ำและมีท็อปปิ้งให้เลือกเยอะหลากหลายทั้งเนื้อสัตว์และผัก ตัวเส้นหนานุ่มเหมือนอูด้ง แต่มาในเวอร์ชั่นที่น้ำซุปรสชาติข้มกว่า นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่น ๆ อย่างเกี๊ยวซ่าโฮมเมด แป้งกรอบเด้ง และข้าวปั้นสามเหลี่ยมอีกด้วย
เมือง Iwakuni
011 Kintai-kyo Bridge ( สะพานคินไทเคียว )
มาถึงไฮไลต์ของทริปกับจุดเช็กอินที่สวยงามไม่แพ้ที่ไหน นั่นคือสะพานคินไต สะพานที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปตั้งแต่ยุคซามูไร เป็นสะพานที่สร้างจากไม้ห้าโค้ง ใช้เทคนิคการประกอบไม้ในการสร้างสะพานเพื่อพาดผ่านแม่น้ำนิชิกิ บรรยากาศโดยรอบสะพานที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และสวยงามแตกต่างกันในแต่ละฤดูกาล จนที่นี่ถูกติดอันดับให้เป็นหนึ่งในสะพานไม้ที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
ด้วยความเก่าแก่นี้เองทำให้สะพานแห่งนี้กลายเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่น ใครได้มีโอกาสมาเดินเล่นชมวิว หรือเดินข้ามสะพาน ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการมาเยือนเมืองนี้แล้ว ขอบอกว่าวิวบนสะพานและวิวด้านล่าง สวยงามแตกต่างกันคนละแบบ หากมายืนริมแม่น้ำแล้วเงยหน้ามองสะพาน จะเห็นความเว้าโค้งของสะพานตัดกับบรรยากาศด้านหลังที่เป็นทิวเขา ก้อนเมฆ และแม่น้ำผืนกว้าง เป็นวิวที่มาแล้วห้ามพลาดถ่ายรูปเลย!
012 Choshuya Kintaikyo-ten
ไม่ไกลจากตรีนสะพาน เราขอแนะนำให้ทุกคนมาลิ้มลองอาหารพื้นบ้านของจังหวัดนี้ กับเมนู “Iwakuni Sushi” หรืออิวากุนิ ซูชิ ที่เป็นอาหารโลคอลรูปร่างสี่เหลี่ยมจัตุรัส หน้าตาดูหรูหรา และมาด้วยขนาดชิ้นโต ฟีลคล้าย ๆ ซูชิขยายส่วน โดยวัสถุดิบหลักจะเป็นการนำข้าวมาผสมกับรากบัว, เห็ดชิตะเกะ, ปลาอาจิ คั่นด้วยผักใบเขียว โรยหน้าด้วยไข่ฝอย วางซ้อนทับกันหลายชั้นในกล่องไม้แล้วกดบนฝาให้ทุกอย่างอัดเข้ากันจนแน่น และค่อยตัดแบ่งชิ้นอีกที โดยต้นกำเนิดเค้าว่ากันว่าในอดีตขุนนางแห่งเมืองอิวาคุนิได้สั่งการให้มีการผลิตอาหารที่สามารถเก็บไว้รับประทานได้นาน จึงเป็นที่มาของเมืองนี้นั้นเอง
013 Battle of Dan-no-ura
หลังจากเที่ยวกันจนเต็มอิ่ม เราก็ขับรถยาว ๆ กลับมาลงเพื่อแวะเที่ยวเมือง Shimonoseki อีกครั้ง โดยก่อนจะถึงร้านคาเฟ่ที่ปักหมุดไว้ ระหว่างทางก็ขอเก็บภาพบรรยากาศของอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงการต่อสู้ในดันโนอุระกันก่อน โดยตำนานเล่าว่าระหว่างที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำสงครามการต่อสู้บนเรือระหว่างตระกูลงตระกูลมินาโมโตะ กับตระกูลไทระในปี ค.ศ. 1185 ที่เป็น 2 ตำนานซามูไรที่ยิ่งใหญ่ของยคุคสมัยเฮอัน และสุดท้ายตระกูลมินะโมะโตะก็สามารถเอาชนะตระกูลไทระได้สำเร็จ แล้วก็เป็นการเริ่มต้นของยุคคามาคุระ หรือยุคโชกุนนั่นเอง นอกจากประวัติศาสตร์ของซามูไร 2 คนนี้แล้ว เรายังสามารถดูวิวสะพานคันมง ซึ่งจุดนี้จะสามารถเห็นช่องแคบคันมง และเห็นฝั่งเกาะคิวชูตรงข้ามได้อีกด้วย
014 Roy Cafe
Roy Cafe เป็นคาเฟ่น่ารัก ๆ สไตล์มินิมอลมินิใจสุด ๆ ตกแต่งร้านคุมโทนด้วยสีขาว ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ตกแต่งผนังร้านด้วยภาพงานศิลปะมินิมอลอาร์ต ๆ ถ่ายรูปออกมาแล้วดูดีสุด ตรงไทป์สายคาเฟ่ฮ็อปปิ้งมาก ๆ ถ้าถามว่าคาเฟ่แบบไหนที่ทำให้นั่งพักแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดโปร่ง ก็ต้องบอกว่าที่ Roy Cafe นี่แหละ เหมาะกับการนั่งชิลปล่อยใจมาก ๆ
สำหรับเบเกอรีและเครื่องดื่ม ร้านนี้มีให้เลือกหลากหลายเมนู ทั้งชาเขียวร้อน ลาเต้เย็น หรือ Pound Cake สำหรับเค้กร้านนี้มีกิมมิกเล็ก ๆ น่ารักเป็นการปั๊มชื่อร้านลงบนเมนูด้วยนะ เอาใจสายถ่ายรูปสุด ๆ ใครชอบคาเฟ่สไตล์มินิมอล โทนสีขาว ต้องมาแวะให้ได้
015 Karato Fish Market
ก่อนตีรถกลับ Fukuoka แน่นอนว่ามาถึงทะเลทั้งที ก็ต้องไปลุยตลาดปลา Karato Fish Market ตลาดที่ใหญ่อีกแห่งในญี่ปุ่นเลย อาหารทะเลและซาชิมิมากมายจนลายตาไปหมด เลือกไม่ถูกว่าต้องกินร้านไหน ด้วยวัตถุดิบสดใหม่จากทะเล คัดสรรมาแล้วอย่างดีจากชาวประมงญี่ปุ่น ที่ใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจับมาจนถึงการแล่ มีครบทุกแบบ จะซูชิ หรือปลาดิบ สวรรค์ของคนรักอาหารทะเลชัด ๆ
และไฮไลต์ที่ห้ามพลาดคือ “เจ้าเนื้อปลาปักเป้า” ที่เลือกมาอย่างดี แล่ให้เราด้วยความใส่ใจ และปลอดภัย สามารถเห็นได้แทบทุกร้านในนี้ รสชาติดี สัมผัสกรุบ ๆ รับรู้ได้ถึงความสดแบบเพิ่งขึ้นมาจากทะเลเลยทีเดียว เป็นการเดินตลาดปลาที่แฮปปี้มาก ปิดท้ายทริปนี้ได้เพอร์เฟ็กสุด ๆ
Yamaguchi เมืองที่แสนจะอบอุ่น เงียบสงบ ผู้คนเป็นมิตร มีแหล่งท่องเที่ยวครบทุกสไตล์ การเดินทางมารอบนี้ขอยกให้ทริปนี้เป็นทริปที่จุดเช็กอินสวยจนเหมือนหลุดมาจากนิยายอีกทริปเลย มีหลายมุมที่ถ่ายรูปออกมาแล้วสวยงามอลังในรูปแบบที่แปลกหูแปลกตา สุดท้ายใครอยากตามรอยเราอย่าลืมบิน Thai Vietjet Air มาลงฟุกุโอกะได้เลย สะดวกสุด ๆ ใช้เวลาไม่นานก็เข้าสู่เมือง Yamaguchi ได้เลย ประหยัดเวลา แถมได้ตะลุยเที่ยวเมืองนี้แบบเต็มที่ไม่เร่งรีบ เป็นอีกจุดเช็กอินที่น่าปักหมุดในญี่ปุ่นเลย