ทริปนี้เราขอเชิญนักช็อป นักชิมตัวมัมทุกคนบินตรงสู่เมืองแห่งแฟชั่นของอิตาลีชมความร่ำรวยของงานศิลปะยุโรปทุกยุคสมัยกันที่ Milan อีกเมืองที่มีความอู้ฟู่มากที่สุด
กวาดตาไปมุมไหนก็เจอแต่แลนด์มาร์กที่เต็มไปด้วยร้านค้าแบรนด์เนมระดับโลกให้เราได้ใช้เงินเปย์ตัวเองฉ่ำ ๆ โหยหาธรรมชาติเมื่อไหร่ก็นั่งรถออกมาอีกหน่อย จะได้เจอกับความงดงามของเทือกเขาเขียวฉ่ำตาในฤดูร้อนที่มีปราสาทสวยดั่งเทพนิยาย มีที่พักตากอากาศรอต้อนรับอย่างเป็นมิตร แถมยังได้ชิมอาหารประจำชาติในแหล่งผลิตที่ดีที่สุดในอิตาลี ทั้งแฮม ชีส และไวน์ บอกเลยว่าทริปนี้มันครบครันสำหรับสายเที่ยวแบบลักชูแน่นอน
Flight from Bangkok to Milan
การย้ายตัวจากเอเชียสู่ยุโรปของเราในแต่ละครั้ง ส่วนใหญ่เราจะเลือกเดินทางพร้อมกับ Thai Airways ที่เขาบินตรงสู่มิลานทุกวันด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลเยอร์ 298 ที่นั่ง ลำใหญ่นั่งสบาย ใช้เวลา 11 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงที่หมาย นอนหลับแล้วตื่นมาเที่ยวต่อได้ทันที กับช่วงเวลาที่จัดมาเอาใจนักสู้สายเที่ยวฉ่ำโดยเฉพาะ กับไฟลต์
TG940 Suvarnabhumi Airport (BKK) – Milan Malpensa Airport (MXP) : 00.40 – 07.35
TG941 Milan Malpensa Airport (MXP) – Suvarnabhumi Airport (BKK) : 14.05 – 05.55
ใส่มาให้พร้อมทั้งน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม อาหารอุ่นร้อนที่กินเสร็จปุ๊บก็ Good Night ได้เลย
Day 1
Quadrilatero d’oro
เริ่มต้นกันที่แรกที่ว่ามิลานเป็นสวรรค์ของคนรักแบรนด์เนมนั้นไม่เกินจริง เมื่อเราได้มายืนที่ ‘Quadrilatero d’oro’ ศูนย์กลางแฟชั่นที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ที่อร่ามไปด้วยสีเหลืองทองของสถาปัตยกรรมแบบ Baroque มีงานสลัก-ปูนปั้นสุดวิจิตร ประกอบไปด้วย 4 ถนนสำคัญ Via Montenapoleone, Della Spiga, Via Borgospesso และ Via Sant’Andrea ที่มีประวัติยาวนานกว่า 220 ปี ตั้งแต่สมัยนโปเลียน พัฒนามาเป็นย่านช็อปปิง รายล้อมไปด้วยร้านค้าแฟชั่นชั้นสูงดังชื่อก้องโลก ไม่ว่าจะเป็น Versace, Prada, Gucci, Armani,Bottega Veneta, Bulgari ฯลฯ ยังมีห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลีและในโลกรวมอยู่ด้วย แล้วที่นี่ยังถูกจัดอยู่ในพื้นที่ที่แพงที่สุดและหรูหราที่สุดในโลก เช่นเดียวกับ 5th Avenue ในนิวยอร์ก และ Champs-Élysées ที่ปารีสเลยทีเดียว
📍https://maps.app.goo.gl/dBAqdWhMFyRXUusF8
Ristorante Savini
สองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านค้าต่าง ๆ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวแบบเราต้องหยุดชะงักคงหนีไม่พ้นร้านเจลาโตชื่อดังที่เปิดมานานกว่า 155 ปี นอกจากแถวที่คนอยู่ต่อคิวกันหนาแน่น ภายในตู้ก็มีรสชาติให้เราได้เลือกชิมมากมาย เอาเป็นว่าใครเป็นสายของหวาน และมาเที่ยวช่วงซัมเมอร์แบบเรา เจลาโตลูกโต ๆ สักสองลูกคือฮีลใจพวกเราสุด ๆ
Luini
ไม่ใกล้ไม่ไกลกับร้าน Ristorante Savi ของหวานสุดฮีลใจ ก็มีร้านขนมปังยอดฮิต และยังเป็นอาหารพื้นเมืองที่มีมานานกว่าร้อยปีกับเมนู Panzerotti ที่เป็นเหมือนพิซซ่าทอดหน้าต่าง ๆ โดยเฉพาะไส้มอสเซอเรลล่าชีสฉ่ำ ๆ ที่มาพร้อมขนมปังก้อนกลม ๆ ใครมาเยือนเมืองมิลาโน่ ปักหมุดร้านนี้ไว้ในลิสถ์ลำดับต้น ๆ ได้เลย
Duomo di Milano
ไม่ไกลกันนัก เราจะเจออีกหนึ่งไอคอนิกประจำประเทศ ‘Duomo di Milano’ มหาวิหารอันงดงามราวภาพวาด เป็นโบสถ์สไตล์ Gothic ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มสร้างเมื่อปี 1386 เล่นใหญ่เล่นโตด้วยการรวมช่างฝีมือ สถาปนิก ประติมากร และช่างตัดหินชั้นครูทั่วทั้งยุโรป จนกลายเป็นโบสถ์ที่รวมผู้คน วัฒนธรรมที่มีกลิ่นอายของยุโรปมากที่สุด ความยูนีคของวิหารนี้คือใช้หินอ่อนเป็นหลัก ตัวโบสต์จึงมีลายที่อ่อนช้อย เนื้อมันวาวงดงามยามต้องแดด บวกกับแสงเงาอันละเอียดละออของงานปั้นที่มีมากกว่า 3,000 รูป ก็กลายเป็นความสวยตาแตกแบบไม่มีคำไหนจะบรรยายได้
📍https://maps.app.goo.gl/QMCsncUefYu4UYkc7
ส่วนด้านในก็ทำเราอึ้งในความงามเหนือจินตนาการด้วยเช่นกัน กับโถงโบสถ์ที่มีถึง 5 โถงรวมปีกอาคาร โอ่อ่าด้วยความสูง 24 เมตร เรียงรายด้วยเสาที่ถูกเคลือบด้วยหินอ่อนอย่างประณีต แต่ละเสามีการตกแต่งอย่างบรรจง แต่งแต้มสีสันด้วยงานศิลปะกระจกหลากสีที่รอการส่องประกายจากแดดภายนอก บนพื้นโบสถ์ยังมีลายดอกไม้ที่ทำจากการตัดสลับระหว่างหินอ่อน Candoglia สีเทาอมชมพู และ หินอ่อน Vannera สีแดงดำ นอกจากนี้ยังมีสปอตใหญ่ ๆ อย่าง The Duomo di Milano Organ, The Terraces, Church of San Gottardo in Corte ซึ่งทุกจุดเต็มไปด้วยสตอรีที่สายเที่ยวประวัติศาสตร์สามารถอยู่เที่ยวได้ทั้งวันเลยล่ะ
Palacio Real de Milán
อีกไฮไลต์ยืนหนึ่งประจำย่านนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับมหาวิหารชื่อว่า ‘Palacio Real de Milán’ ร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านพ้นเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ คู่กับมิลานมานานหลายศตวรรษ สร้างขึ้นปี 1330 โดยผู้ครองเมืองมิลาน Azzone Visconti ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neoclassic ซึ่งปัจจุบันถูกผันเป็นพื้นที่จัดแสดงงานอาร์ต โรงละครสุดปังเพื่อพรีเซนต์ผลงานระดับโลก ช่วงที่เรามาตรงกับงาน ‘From The Heart to The Hands’ by DOLCE&GABBANA บอกเล่าความอู้ฟู่ของวัฒนธรรมอิตาลีที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานแฟชั่นของแบรนด์ ตามแนวคิดของ Domenico Dolce และ Stefano Gabbana ผู้ก่อตั้งนั่นเอง
📍 https://maps.app.goo.gl/WNtQRezi41pYyuF87
NH Collection Milano Touring
ที่พักในเมืองของเราในครั้งนี้ขอมอบมงให้กับโรงแรมที่ตั้งสุดเลิศ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกปังที่เราอยากแนะนำสำหรับการท่องเที่ยวเมืองมิลาน ‘NH Collection Milano Touring’ อยู่ใกล้ดาวน์ทาวน์อย่าง Repubblica และสถานีรถไฟ Turati ในระยะที่เดินทอดน่องได้ชิล ๆ พร้อมพนักงานต้อนรับแสนเฟรนด์ลี่ตรงตามมาตรฐานโรงแรมติดดาว มีห้องให้เลือกถึง 5 ไทป์ รองรับแขกได้ทั้งแบบเดี่ยว คู่และครอบครัว สิ่งอำนวยความสะดวกครบทั้งฟิตเนส บาร์ ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่นส่วนกลางไวบ์ดี ขนาดห้องนอนถือว่าใหญ่พอดีสำหรับสองคน สามารถวางกระเป๋าเดินทาง กางหยิบของได้สบาย ๆ เตียงนุ่มนิ่มทำเราหลับยาวถึงเช้าเลย
📍https://maps.app.goo.gl/kyn5ww9SCSBmVaza6
Vertigo, Nhow Milan
ถ้าช่วงเย็น ๆ ใครไม่รู้จะไปชิลที่ไหน เราขอแนะนำอีกหนึ่งโลเคชั่น Rooftop ที่มี Pool Bar บนดาดฟ้าที่ไวป์สุดดีงามบนโรงแรม Nhow Milan โดยด้านในเค้าตกแต่งด้วยงานศิลปะตั้งแต่ชั้นแรกจนไปถึงบาร์ด้านบน แนะนำให้สั่งค็อกเทลมานั่งฟังเพลงปล่อยใจจอย ๆ ดูพระอาทิตย์
Day2
Fidenza Village
อีกแห่งที่อยากฝากนักช็อปไว้ในอ้อมใจ ‘Fidenza Village’ แหล่งช็อปปิงกลางแจ้งที่อยู่ห่างจากเมืองราว ๆ 1 ชั่วโมง รวบรวมร้านค้าไว้มากกว่า 120 ร้าน มีตั้งแต่สินค้าแบรนด์เนม ไลฟ์สไตล์ แฟชั่นแบรนด์สตรีท รองเท้า เครื่องประดับ ขนม ของฝาก แต่ละร้านเคาะส่วนลด โบกโปรโมชั่นมาให้แบบจัดหนัก รับรองว่าคุ้มค่าแก่การเดินทางออกนอกเมืองมาแน่นอน โดยเขาจะมี Shopping Express® service รับจากตัวเมืองมิลานแถว Piazza della Repubblica มาถึงที่ได้เลย สำหรับใครที่ไม่ใช่สายช็อปก็สามารถเดินถ่ายรูปทำคอนเทนต์ฟีลเที่ยวในหมู่บ้านตากอากาศ หาร้านอาหาร คาเฟ่ ไวบ์ดีไปนั่งดื่มนั่งดริงก์ได้เช่นกัน
📍https://maps.app.goo.gl/YXCL97G6X56bCUqw8
และที่นี่ยังมีสิทธิสุดพิเศษสำหรับสมาชิก Royal Orchid Plus เพียงแสดงบัตรสมาชิกพร้อมตั๋วเครื่องบิน ก็รับไปเลยส่วนลดเพิ่มจากหน้าร้านอีก 10% มีบริการ Hands-free Shopping ช็อปแล้วฝากไว้จะกลับเมื่อไหร่ค่อยรับคืนที่จุดเดียว ไม่ต้องถือเดินให้หนัก และพิเศษสำหรับคนที่บินแบบ Royal Silk Class สามารถเข้าใช้บริการ Private Suite ห้องรับรองสุดหรูได้ฟรีอีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.thaiairways.com/en_TH/rop/Promotion/Boarding-Pass-Campaign-Fidenza-Village.page
ใครช้อปกันจนหน่ำใจ ภายใน Fidenza Village เค้าก็มีอาหารขึ้นชื่ออย่าง SIGNORVINO ที่มีปาร์มาแฮมยืนหนึ่งให้ได้ลิ้มลอง พร้อมตบท้ายกับเจลาโตให้ลูกโต ๆ
Castello di Tabiano
คืนนี้เราขอย้ายโซนมาพักในเมืองปาร์ม่ากับภาพปราสาทอันยิ่งใหญ่ตั้งปลีกวิเวกบนเนินเขาที่เรามักเห็นในเทพนิยายและหนังย้อนยุค บัดนี้เราได้มายลโฉมด้วยตาตัวเองแล้ว กับ ‘Castello di Tabiano’ ปราสาทหินที่มีอายุมากกว่า 1,100 ปี มีรากฐานมาจากซากปรักหักพังของชุมชนโรมันเก่าแก่ เดิมเป็นที่มั่นทางทหารสมัยต่อสู้ระหว่างกองกำลังจักรวรรดิและวาติกัน ก่อนจะตกเป็นของครอบครัว Corazza ส่งต่อผ่านมาถึง 6 รุ่น ปัจจุบันที่นี่ได้ผันเป็นโรงแรมหรู ภายในถูกรีโนเวทใหม่ผสานทั้งความคลาสสิกโบราณและโมเดิร์นเข้าด้วยกันอย่างแยบยล พร้อมกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ที่เจือบาง ๆ ท่ามกลางทิวเขาเขียวชอุ่มของฤดูร้อนที่โอบล้อมอย่างอบอุ่น เป็นบรรยากาศที่เหมาะแก่การจัดพิธีวิวาห์ หรือมาฮันนีมูนกับแฟนจริง ๆ
📍https://maps.app.goo.gl/yhiicYQ6SkrDZKkW7
ตัวห้องพักสุดคลาสสิกที่เหมือนหลุดออกมาจากหนังโรแมนติกไรสักแล้ว ด้านนอกยังให้ฟีลบรรยากาศสุดส่วนตัว ทั้งสระน้ำวิวภูเขา และห้องอาหารเช้าในสวนดอกไม้ที่ใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศในเมืองอันแสนวุ่นวาย เราขอแนะนำให้หาเวลามาพักใจที่นี่กันสัก 2 คืน รับรองจะเป็นทริปยุโรปที่แกรนด์กว่าใคร ๆ แน่นอน
Day 3
Relais Roncolo 1888
เช้าวันนี้เราขอพาทุกคนมาชมพิกัดลิ้มรสไวน์อิตาลีที่เขาล่ำลือถึงความเป็นไวน์ชั้นเลิศกันที่ ‘Relais Roncolo 1888’ ที่นี่เป็นที่พักท่ามกลางธรรมชาติบนเนินเขา Terre di Canossa ระหว่างเมืองปาร์มาและเมืองเรจจิโอเอมีเลีย งดงามประหนึ่งสถานที่ตากอากาศของเหล่าท่านดยุก กับโครงสร้างอาคารอายุกว่าร้อยปี เงียบสงบสดชื่นจนถูกเรียกว่าเป็นโอเอซิสแห่งความสุข แถมยังมีไร่ปลูกองุ่นสำหรับผลิตไวน์และบัลซามิกที่ใช้กรรมวิธีดั้งเดิม ซึ่งเขามีคอร์สพาเดินชม นำโดยซอมเมอลิเยร์ผู้เชี่ยวชาญ หากไม่ได้นอนพักก็สามารถมาลิ้มรสอาหารอิตาเลียนแท้ ๆ เคล้ากับไวน์ชั้นดีได้ที่ร้าน ‘Ristorante Limonaia’ เช่นกัน
📍https://maps.app.goo.gl/D1p1tc4kxuQz4bys7
Museum Ferrari Maranello
ชิมไวน์เสร็จพวกเราก็ขอมุ่งตรงมายังพิกัดนี้ที่ขอเอาใจหนุ่มสาวผู้รักในความเร็ว กับการชมพิพิธภัณฑ์แบรนด์รถสปอร์ตสุดหรูระดับโลก ‘Museum Ferrari Maranello’ แบรนด์รถที่ยืนหนึ่งเรื่องความเร็ว แรง โดดเด่นทุกสนามแข่งตั้งแต่ปี 1947 แต่มิวเซียมแห่งนี้จะพาเราลงลึกไปกว่านั้น.. ย้อนไปตั้งแต่ปี 1929 ตั้งแต่สมัยที่ Enzo Ferrari ผู้ก่อตั้งแบรนด์ยังทำงานเป็นนักขับทดสอบให้แก่บริษัทรถอื่น จนออกมาและตั้งบริษัทเป็นของตนเอง ในนี้จะรวบรวมรถซีรีส์ต่าง ๆ ทั้งรถสปอร์ต รถแข่ง ให้เราชมตั้งแต่รุ่นเก่าเก็บยันใหม่ล่าสุดด้วยตาเนื้อ พร้อมทั้งถ้วยรางวัลระดับโลกมากมายวางประดับ และร้านขายของที่ระลึก คาเฟ่ธีมเฟอร์รารีที่ทำถึงจนสาวกแบรนด์นี้จะต้องใจละลาย
📍https://maps.app.goo.gl/f9DYmiQvEdEh8ii69
Parma city
โลเคชั่นต่อไปเราขอชวนมาเช็กอินอีกเมืองที่ร่ำรวยไปด้วยงานศิลปะ ขึ้นชื่อเรื่องดนตรี อาหาร และแหล่งช็อปปิง ที่เราสามารถเดินเล่นอย่างอิสระในเมืองได้อย่างเพลิดเพลิน เพื่อชมวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์กับประวัตินับพันปี ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 183 ก่อนคริสตกาล ใช้เป็นจุดเชื่อมต่อเส้นทางการค้าจนได้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันผ่านเรื่องราว ถูกส่งต่อผู้นำหลายคน จึงมีความโดดเด่นเรื่องของวาทยกร สถาปนิก ประติมากร จิตรกร ช่างพิมพ์ และนักออกแบบตัวอักษร เรียกว่าเป็นแหล่งผลิตศิลปินเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นใครได้มาก็ไม่ควรพลาดชมงานสถาปัตยกรรมอย่าง โบสถ์ S. Giovanni Evangelista ที่มีภาพ frescoes by Correggio และ arabesques by Michelangelo Anselmi, Palazzo della Pilotta ปราสาทของดยุกที่ถูกปรับให้เป็นหอศิลป์, Palazzo Ducale พิพิธภัณฑ์ของโบราณ และ โรงละคร Farnese แต่ละแห่งล้วนมีอายุมากกว่าร้อยปี แต่ถูกบูรณะให้ดูใหม่และสมบูรณ์ประหนึ่งได้ย้อนเวลากลับไป
📍https://maps.app.goo.gl/VxFnTgDxVMN1hiSa6
อีกหนึ่งสมญานามของเมืองนี้คือ ‘Parma the city of ham and cheese’ ลือเลื่องด้านการหมักเนื้อสัตว์ด้วยเกลือและการหมักดองตั้งแต่ยุคโรมัน ด้วยความที่มีขุนนางมากมายผลัดเปลี่ยนมาประจำเมืองนี้ จึงได้พัฒนาด้านการเลือกเนื้อที่ดีที่สุด ขั้นตอนการหมักเกลือ ปล่อยให้แห้ง และบ่มในที่โล่ง บางชนิดใช้เวลาหมักนานถึง 18 เดือน ขนาดลองชิมแบบธรรมดาเรายังได้รสชาติหวานละมุนของเนื้อ ผสานความเค็มอ่อน ๆ ไม่แสบคอ แต่ยังคงความเข้มข้น กินกับชีสแล้วกลายเป็นรสชาติที่พอดี ถ้าเอาไวน์มาจิบด้วยเท่ากับเพอร์เฟกต์เลยทีเดียว
Allegrini Winery
เมื่อเรามีแฮมที่ดี ชีสที่นัวโดนใจแล้ว อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือไวน์ สามสิ่งนี้จะเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของอาหารอิตาเลียน เราจึงขอพาทุกคนเข้าไร่เข้าสวนที่ ‘Allegrini Winery’ แหล่งผลิตไวน์ที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่16 ด้วยความที่ปลูกบนที่สูงกว่า 5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล กลายเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ผลิตไวน์ที่ดีที่สุดในอิตาลี ใช้กรรมวิธีดั้งเดิม หากใครชอบกินเนื้อสัตว์ เนื้อแเดง แนะนำให้ดื่ม Corte Giara Amarone ตัวซิกเนเจอร์รสกลมกล่อม ปลายหวานในลำคอ โดยองุ่นที่นำมาใช้จะต้องตากลมนาน 3-4 เดือนก่อนนำไปบ่มต่ออีก 18 เดือน ถือเป็นไวน์พรีเมียมที่การบินไทยจัดเสิร์ฟให้แก่คนที่นั่ง First Class ด้วย
📍https://maps.app.goo.gl/yqAVRGVuBTZ2C3fW9
ทริปนี้เราขอยกให้เป็นหนึ่งในการเดินทางที่ได้ชมสถาปัตยกรรมสุดอลังการมากมาย พร้อมขอยกให้มิลานเป็นเมืองแห่งศิลปะและแฟชั่นลำดับต้น ๆ ของโลก นอกจากนั้นปาร์ม่ายังเป็นเมืองสุดชิลที่ซ่อนสถานที่ต่าง ๆ เอาไว้มากมาย แถมรอบนี้ยังทำให้เราได้รู้จักกับไวน์ รวมถึงประวัติ ขั้นตอนการผลิตแบบลึกซึ่งอีก ใครอยากทำความรู้จักกับประเทศอิตาลีอีกมุม แนะนำปักหมุดโลเคชั่น แล้วเที่ยวตามเราได้เลย