Chiangmai : Feel at home at 4 cozy places

Chiangmai : Feel at home at 4 cozy places

ใกล้เข้าสู่ฤดูกาลที่ใครหลายคนรอคอย เชียงใหม่ช่วงนี้อากาศน่านอนทั้งวัน แต่จะดีแค่ไหนหากได้นอนในที่พักที่ทั้งชิคและชิลล์ แถมยังมีร้าน breakfast and brunch อยู่ใกล้ๆ ชนิดที่ว่าลุกจากเตียงแล้วเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็ได้นั่งกินอาหารจิบกาแฟรับแสงตะวันแล้ว

สำหรับวันหยุดที่ผ่านมาเราได้ไปพักที่ Burirattana hotelโฮเทล ย่าน old city เชียงใหม่ ที่มาในโทนสีขาวคลีน ดีไซน์โคโรเนียลล้านนา มีไฮไลต์เป็นสระว่ายน้ำเกลือ กับมุมถ่ายรูปสีขาวคุมโทนแม้กระทั่งดอกไม้ ซึ่งด้านล่างของโรงแรมยังมีสปาชื่อว่า MAKKA SPA และร้านอาหาร Kati Creative & Local Food ที่ตกแต่งในกลิ่นและสีของกะทิตามชื่อ

และอีกคืนที่ The Earth Hotel โรงแรมเล็กๆ บนถนนห้วยแก้ว แม้ภายนอกจะดูเป็นสไตล์ลอฟท์ แต่เมื่อเข้าไปในห้องนอนแล้วจะเจอกับความอบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน โดยที่ด้านข้างโรงแรมก็มี The Moon Cafe & Eatery พร้อมมอบมื้อเช้าและมื้อสายที่สดใส รีเฟรชตัวเองด้วยผักหลากสี และกลิ่นหอมอบอวลขนมปังโฮมเมดคือดีที่สุด

เพียงแค่สองโลเคชั่นที่อยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวนี้ ก็ได้ทั้งกิน นอน เที่ยว แถมยังได้เดินเตร็ดเตร่เพราะมีเวลาเหลือเฟือ ตามมาชมกันเลย!

โรงแรมบุรีรัตนาโฮเทล

เริ่มต้นทริปในครั้งนี้ด้วยการมอบรางวัลชีวิตให้กับตัวเองด้วยการมาพักผ่อนที่ย่าน old city กับบรรยกาศดี ๆ ที่โรงแรมบุรีรัตนาโฮเทล โทนสีขาวคลีน ดีไซน์ The Minimal Lanna Essence ที่มีกลิ่นอายโคโลเนียลผสมล้านนา ตั้งอยู่ท่ามกลางพื้นที่ประวัติศาสตร์ของจังหวัดเชียงใหม่ที่มีกำแพงผนังเดียวกับคุ้มเจ้าบุรีรัตน์และด้วยการออกแบบที่ละเมียดละไมตั้งแต่ดีไซน์ สีที่ถูกนำมาใช้รวมถึงฟ้อนต์ตัวอักษรที่ผ่านการคิดและออกแบบเองทั้งหมด จึงทำให้โรงแรมนี้ดูเด่นเป็นสง่าที่สุดแล้วในย่านใจกลางคูเมือง

และอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เราหลงรักโรงแรมนี้คือทุก ๆ 3 เดือน โรงแรมจะมีการทำ Booklet ที่เป็นเหมือนหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เอาไว้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจังหวัดเชียงใหม่ที่จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ โดยแคมเปญช่วงที่เราไปคือ “Create a life you can’t wait to wake up to” หรือเป็นการชักชวนให้แขกทุกคนลองตื่นมาสัมผัสอากาศที่แสนจะสดชื่นยามเช้า ได้เห็นไอหมอกจากยอดดอยรวมทั้งวิธีชีวิตความสโลว์ไลฟ์ของเมืองนี้ยามเช้ากัน เราว่ามันเป็นกิมมิคที่น่ารักและรู้ถึงความใส่ใจของรายละเอียดต่าง ๆ มาก ๆ เลยนะ

 หลังเราได้รู้คอนเซ็ปของโรงแรมนี้ก็ได้เวลามาเยือนที่นี่กันสักที เมื่อเราเดินเข้าไปใน Lobby จะได้สัมผัสถึงการบริการที่แสนจะอบอุ่นของน้อง ๆ พนักงานมาพร้อมกับ Welcome Drink น่ารัก ๆ นอกจากรอยยิ้มของพนักงานเบื้องหน้าแล้ว แอบรู้มาภายหลังอีกว่าที่นี่ดูแลลูกค้าอย่างดีตั้งแต่ในช่องทางออนไลน์ไม่ว่าจะมีปัญหาเรื่องการเดินทางก็สามารถติดต่อโรงแรมได้ตลอด รวมถึงแนะนำสถานที่เที่ยว แจ้งพยากรณ์อากาศ อีกทั้งยังทำเพลย์ลิสต์ส่งเป็นลิงค์ให้ลูกค้าได้ลองฟังอีกด้วย

หลังจากเช็คอินเสร็จระหว่างทางเราจะได้สัมผัสกับกลิ่นหอมของดอกพุดซ้อนสีขาวสะอาดและบานใหญ่ที่อยู่รายล้อมไปทั่วตัวโรงแรมบุรีรัตนาโฮเทลที่ผสมผสานกับการตกแต่งที่คุมโทนสีขาวได้อย่างเข้ากันตลอดเรียบทางเดินริมสระว่ายน้ำ ที่เรียกได้ว่าเป็นมุมที่ไม่ควรพลาดเก็บภาพไว้ โดยเฉพาะช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ แสงบริเวณนี้ยิ่งสวย

ไฮไลต์ที่จะไม่พูดไม่ได้คือบริเวณใจกลางโรงแรมที่เป็นที่ตั้งของสระน้ำขนาดใหญ่พอเหมาะที่มาพร้อมดีไซน์การออกแบบตัวอาคารสมัยเก่าสีขาวงาช้างสอดแทรกด้วยสีสันสีเขียวของใบไม้สีดูเข้ากันได้อย่างลงตัว จะมานั่งชิล ๆ หรือหาหนังสือเล่มโปรดสักเล่มมานั่งอ่านท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้ เราว่ามันจะเป็นช่วงเวลาที่ดีแน่นอน

อย่างที่บอกทุกตารางนิ้วของที่นี่ผ่านการคิดออกแบบใส่ใจในดีเทลรายละเอียดต่าง ๆ ทำให้ไม่ว่าเราจะเดินไปมุมไหนหรือถ่ายรูปยังไง ที่นี่ก็ออกมาดูสวยไปหมดจริง ๆ

ระหว่างทางจะเจอกับการตกแต่งด้วยดอกพุดซ้อนเต็มไปหมด

โรงแรมบุรีรัตนาโฮเทลที่นี่มีห้องพักทั้งหมด 42 ห้องด้วยกันแบ่งเป็น Superior , Deluxe , Grand Deluxe และมีห้อง Burirattana Suite ที่เป็นห้องที่ดีที่สุดเพียง 2 ห้องที่จะสามารถเห็นวิวทิวทัศน์เมืองเก่าและยอดดอยสุเทพผ่านวิวหน้าต่างจากห้องนี้ได้เลย

การตกแต่งของที่นี่คงความ old city โดยนำคอนเซ็ปของคุ้มเจ้าบุรีรัตน์มาเป็น inspiration แต่เมื่อเข้ามาภายในห้องพัก เราจะพบว่าสิ่งอำนวยความสะดวกรวมถึงของใช้ต่าง ๆ จะดูทันสมัยทั้งหมด ทำให้เป็นที่มาของแนว The Minimal Lanna Essence นั้นเอง

ถึงแม้โรงแรมจะตั้งใจสร้างเพื่อตอบโจทย์คนยุคสมัยใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบาย แต่ก็ไม่ลืมที่ใส่ใจสำหรับแขกผู้สูงอายุให้นอนสบายด้วยการมีหมอนให้เลือกด้วย จะชอบนอนแบบหมอนสูงหรือหมอนต่ำก็สามารถแจ้งน้อง ๆ พนักงานได้เลย

พักโรงแรมแล้วมาผ่อนคลายกันต่อที่ Makkha spa ที่อยู่ด้านล่างของโรงแรม

การ Service mind ของที่นี่ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังอีกครั้งเพราะนอกจากจะต้อนรับด้วยรอยยิ้มพร้อมเสียงเพลงที่ชวนให้เราได้ผ่อนคลาย หลังจากเรานั่งได้แป๊ปนึง พี่ ๆ ก็เดินเสิร์ฟ Welcome Drink พร้อมเมนูขนมไทยอย่างข้าวแต๋น เพื่อเติมความสดชื่นระหว่างรอ

ที่นี่จะมีบริการนวดหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการนวดแผนโบราณ หรือนวดอโรม่า ใครที่ชอบการผ่อนคลายแบบไหนก็สามารถแจ้งกับพี่ ๆ เค้าได้เลย

หลังจากที่เราเอ็นจอยปล่อยกายปล่อยใจไปกับการนวดที่แสนจะสบายก็จะมีเมนูขนมไทยอย่างข้าวเหนียวมะม่วงที่มาพร้อมน้ำกะทิเข้มข้นเสิร์ฟพร้อมชาร้อนหนึ่งแก้ว เป็นการจบวันพักผ่อนของพวกเราได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยแหละ

ช่วงเช้าอีกวันเราก็ไม่พลาดที่จะลองตื่นมาเสพบรรยากาศยามเช้าของตัวเมืองเชียงใหม่ตามแคมเปญ “Create a life you can’t wait to wake up to” ที่ทางโรงแรมแนะนำให้ทำ ถึงได้รู้ว่าเมืองนี้นอกจากเสน่ห์ผู้คนที่เป็นมิตรแล้ว ความสวยงามของธรรมชาติและวิถีชีวิตของผู้คนยามเช้าที่ไม่ถูกปรุงแต่งและใช้ชีวิตกันอย่างไม่รีบร้อน มันคือเชียงใหม่ในแบบฉบับที่เราชอบมากจริง ๆ

Kati Creative & Local Food

หลังจากเสพบรรยากาศยามเช้ากันบนห้องจนอิ่มเอมใจก็ถึงเวลาลงไปทานอาหารเช้ากันที่ Kati Creative & Local Food ร้านอาหาร breakfast and brunch แบบโฮมเมดที่เน้นโทนสีเขียวตุ่น แทรกซึมไปด้วยความโคซี่แบบวินเทจ โดยคอนเซ็ปของสีเขียวที่ทางร้านใช้เพราะคิดว่าสีเขียวเป็นสีที่อยู่ตามอาหารไทยแทบทุกเมนูและสามารถไปได้ด้วยกันกับสีอื่น ๆ ได้และยังสามารถทำให้อาหารจานนั้นโดดเด่นขึ้นมาอีกด้วย นอกจากภายในร้านเป็นสีเขียวแล้ว ที่นั่งด้านนอกที่ดูเพลิดเพลินก็เต็มไปด้วยความสดชื่นจากต้นไม้ต่าง ๆ รวมถึงวิวของผู้คนที่เดินริมถนนย่านเมืองเก่าอีกด้วย

Kati Creative & Local Food

ส่วนเมนูอาหารที่ร้าน Kati Creative & Local Food นี้จะไม่เน้นเป็นอาหารสไตล์เชียงใหม่มากนัก แต่จะเน้นเป็นอาหารที่ใคร ๆ ก็สามารถทานได้แบบฉบับง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวอาหารเช้าหรือมื้อเที้ยงที่เตรียมไว้สำหรับแขกที่พักได้เลือกทานกันแบบง่าย ๆ หรือสำหรับลูกค้าขาจรที่มาสามารถเข้ามาทานได้อีกด้วย

มาถึงเมนูมื้อนี้ของเรา ขอเริ่มต้นด้วย Triple ham and Cheese toastie แฮมชีสสามชนิดความพิเศษคือตัวขนมปังจะกรอบมากทานคู่กับแฮมและชีสตอนที่ร้อน ๆ คือความลงตัวที่สุดยิ่งได้กาแฟร้อนดี ๆ ทานคู่กันไปด้วยยิ่งทำให้มื้อเช้านี้ของที่เป็นมื้อที่พิเศษสุด ๆ เลยและ English Breakfast ชุดอาหารเช้าแบบอังกฤษ (ที่ประกอบด้วย Fried Eggs, Bakes Beans, Sourdough, Sauteed Spanich, Grilled Mushrooms, Grillled Tomatoes และ Sausages) ที่ไม่ว่าจะวัยไหนทั้งผู้ใหญ่หรือเด็กก็สามารถทานได้ง่าย ๆ ตัวขนมปังกระเทียมที่กรอบนอก แต่นุ่มในทานคู่กับมะเขือเทศและเห็ดย่างได้ดีเลย และสุดท้ายจบด้วย Greek Yogurt & Coconola bites กราโนล่าพร้อมกรีกโยเกิร์ตโฮมเมด ที่เสิร์ฟในกะลามะพร้าวที่น่าตาเต็มสิบ แต่รสชาติเต็มร้อยแบบไม่ได้อวย  เราขอยกให้ที่นี่เป็นอาหารมื้อเช้าในดวงใจเลย

English Breakfast
Greek Yogurt & Coconola bites

สำหรับมื้อเที่ยงที่นี่ก็มีอาหารให้บริการเพราะ Kati Creative & Local Food เป็นร้านอาหาร breakfast and brunch สำหรับใครที่มาเชียงใหม่แล้วอยากได้สัมผัสกลิ่นอายล้านนาและรสชาติอาหารสไตล์คนรุ่นใหม่เราว่าที่นี่แหละตอบโจทย์นักท่องเที่ยวแบบพวกเราที่สุด ขอเริ่มต้นด้วยเมนูแรกอย่าง Eggs & Croissant with Bacon jam ครัวซองไข่ข้นและแยมเบค่อนโฮมเมดท็อปปิ้งด้วยพาเมซานชีส ตัวแป้งครัวซองที่บางกรอบแต่เนื้อในแน่นผสมไปด้วยไข่ข้นทานร้อน ๆ ตักแบบพอดีคำคือดีไม่ไหวเลยแหละ ต่อด้วย Grilled Salmon Salad สลัดแซลมอนย่าง ราดด้วยน้ำสลัดยำแซ่บสูตร โดยตัวปลาแซลม่อนที่ย่างได้อย่างพอดีทานคู่กับตัวน้ำสลัดที่เป็นของทางร้านคิดค้นขึ้นมาเอง ทำให้มีรสชาติที่ละมุนเข้ากันได้อย่างไม่น่าเชื่อและผักต่าง ๆ ที่ดูสดใหม่ ทำให้เป็นเมนูสลัดที่อยากกลับไปทานอีกรอบเลย

Fried chicken sriracha wrap เมนู wrap ที่ประกอบไปด้วยไก่ไร้กระดูกราดด้วยซอสศรีราชาโฮมเมดตัวไส้อัดแน่นไปเครื่องเคียงต่าง ๆ และขอปิดท้ายด้วยไฮไลต์เมนูสุดครีเอทที่เราชอบที่สุดอย่าง Khao Soi Ice-Cream ที่เสิร์ฟเหมือนข้าวซอยโดยมีไอศกรีมคาราเมล มะพร้าวอ่อน ราดซอสน้ำข้าวซอยแบบเนียนละเอียด และโรยด้วยเส้นข้าวซอยกรอบ ถือว่าแต่ละเมนูมีความคราฟต์และเพิ่มรสชาติแบบไทยๆ ที่เข้ากันอย่างละมุนละไมสุด ๆ เลย

Fried chicken sriracha wrap
Khao Soi Ice-Cream

The Earth Hotel

เต็มอิ่มกับโรงแรมที่ยกให้เป็น Dreamlish ที่ครั้งหน้ามาเชียงใหม่ต้องกลับมาพักอีกครั้ง คืนนี้เราจะพาทุกคนมาชมกับอีกหนึ่งโรงแรมที่น่ารักและมีความมินิมอล ตกแต่งด้วยสีเอร์ธโทนกับ The Earth Hotel บนนถนนห้วยแก้ว ห่างจากกาดสวนแก้วเพียงไม่กี่กิโลเมตร 

The Earth Hotel

ภายนอกโรงแรมเป็นผนังคอนกรีตเปลือย ที่ให้อารมณ์ดิบๆ แต่เมื่อเข้าไปด้านในจะสัมผัสได้ถึงการตกแต่งที่แสนจะอบอุ่นเสมือนอยู่บ้าน ด้วยโทนสีขาวตัดกับสีน้ำตาลของไม้ แทรกอยู่ทั่วทุกมุมของห้อง สำหรับห้อง Suite ที่เรามาพักนี้ จะมี 2 ห้อง แยก 2 ห้องน้ำ และห้องครัวกลางที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์การพักผ่อนที่สุดเพราะขนาดห้องที่สามารถเข้าพักได้ถึง 4 ท่าน จะมากับครอบครัวหรือแก๊งค์เพื่อน เราก็สามารถถออกมานั่งจอยกันบริเวณห้องครัวกลางได้เลย จะนั่งดู Netflix หรือ ฟังเพลงปล่อยใจไปกับการพักผ่อนก็สามารถทำจากบริเวณนี้เลย

ภายในห้องนอนก็มาพร้อมเตียงนอนขนาด 5 ฟุตที่มีห้องน้ำในตัว โดยห้อง Suite  นี้จะตั้งอยู่ชั้น 4 บนสุดของตึกนี้ ทำให้เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ของตัวเมืองเชียงใหม่ได้เช่นกัน

ไฮไลต์ของห้องนี้คือตัวห้องน้ำ ใครที่รักการอาบน้ำต้องเลิฟอย่างแน่นอน

ภายในห้องน้ำคือใหญ่มาก มาพร้อมอ่างแช่และดีไซน์ที่มินิมอลสุด ๆ 

อีกหนึ่งสิ่งที่เราที่ชอบที่นี่คือตัวเพดานโปร่งแสง ทำให้ช่วงเวลากลางวันตรงบริเวณบันไดขึ้นมาชั้นนั้นจะดูสว่างไปหมด 

ถัดมาอีกนิดนึงบริเวณชั้น 4 จะมีครัวทำอาหารและโต๊ะทานข้าวที่เตรียมไว้ให้แขกทุกห้องสามารถขึ้นมาทำกิจกรรมนั่งเล่น ชมวิวดาดฟ้ารวมถึงสามารถชงเครื่องดื่มต่าง ๆ บริเวณนี้กันได้เลย

The Moon Cafe & Eatery 

เมื่อนอนบนโลกแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องตื่นบนดวงจันทร์ แต่ดวงจันทร์ที่ว่านี้กลับมาพร้อมกับแสงแดดยามเช้า The Moon Cafe & Eatery ร้านอาหารเช้าข้างโรงแรม ที่มาในคอนเซ็ปต์ Mom to Moon จากเมนูขนมปังโฮมเมดสูตรของคุณแม่ กับเมนูที่หลากหลายพร้อมพาคุณไปสนุกกับอาหารจานผักที่เต็มไปด้วยสีสัน 

The Moon Cafe & Eatery 

ท่ามกลางดีไซน์ของร้านที่มีรูปร่างโค้งอย่างมีเอกลักษณ์และตกแต่งด้วยโคมไฟที่ให้อารมณ์แบบ moon light กับโต๊ะริมกระจกที่มีแสงแดดลอดส่องเข้ามา จะนั่งเล่นหรือจะนั่งทำงานก็ตอบโจทย์ไปหมด

เมนูไฮไลต์ที่อยากแนะนำคือ Shrimp Roll เมนูที่ต้องไม่พลาด ด้วยขนมปังโฮมเมดที่หอมนุ่มเข้ากับซอสและกุ้งได้เป็นอย่างดี , mom’s Bowl กราโนล่าสูตรของคุณแม่ ที่มาพร้อมความหอมของน้ำผึ้ง และ Scrambled egg ที่นวลเนียนรสกำลังพอดี

Scrambled egg
Shrimp Roll

สุดท้ายใครที่กำลังมองหาที่พักบรรยากาศดี ๆ พร้อมดีไซน์ที่สวยเก๋ไม่เหมือนใครพร้อมการบริการใส่ใจที่แสนจะอบอุ่นและอาหารหลากหลายสไตย์ที่รสชาติที่ถูกปาก รับรองว่า 4 โลเคชั่นนี้ต้องเข้าไปอยู่ในใจทุกอย่างแน่นอน

, ,

Leave a Reply

Your email address will not be published.