CHINA : First Time Summer in BEIJING 4 Days 🇨🇳


First Time Summer in BEIJING 4 Days 🇨🇳

ซัมเมอร์นี้ขอชวนทุกคนมาเที่ยวปักกิ่ง เมืองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ผสมผสานไปด้วยความเก่า และความใหม่ สมชื่อ “มหานครสองกาลเวลา” ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์แบบดั้งเดิม และทันสมัย มีทั้งแหล่งประวัติศาสตร์ที่น่าทึ่ง อย่างกำแพงเมืองจีน ที่ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก หรือย่านร้านเด็ดอาหารอร่อยอย่างเมนูเป็ดปักกิ่ง มีย่านท่องเที่ยวสุดชิค มิวเซียม และคาเฟ่ให้สายชิลได้ถ่ายรูปได้เช็กอินจนลืมภาพจำเดิม ๆ ของเมืองปักกิ่งไปเลย

นอกจากตะลุยกิน และดื่มด่ำไปกับสถาปัตยกรรมสวยงามแล้ว ทริปนี้ขอเอาใจคนที่รักการผจญภัยกับ Universal Beijing Resort สวนสนุกที่รวบรวมทุกเครื่องเล่นสุดมันอลังการ พร้อมกับสัมผัสประสบการณ์สุดแปลกใหม่ที่ใครได้มาต้องหลงรักที่นี่แบบเราแน่นอน ใครมีแพลนอยากเที่ยวจีน แต่ยังไม่รู้ว่าจะปักหมุดเมืองไหน ปักกิ่งเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนี้ เพราะตอนนี้สามารถบินตรงด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ทำให้การวางแผนไปเที่ยวจีนทริปนี้ง่ายและสะดวกกว่าที่คิดสุด ๆ

Flight Bangkok to Beijing

สำหรับการเดินทางไปปักกิ่งด้วยสายการบินแอร์เอเชีย บินตรงถึงปักกิ่งแบบชิล ๆ ไม่ต้องกังวลเรื่องการเดินทาง ต้องรอต่อเครื่องให้เสียเวลา กับเส้นทางบินดอนเมือง – ปักกิ่งต้าชิง ที่เป็นไฟลท์รอบดึก 22:55 – 04.40 น. เหมาะกับสายเที่ยวสุด ๆ เพราะสามารถนอนพักเต็มอิ่มบนเครื่อง เพื่อชาร์จพลังไว้เที่ยวต่อในตอนเช้า แถมสะดวกสุด กับ Premium Flex ให้เราได้สิทธิพิเศษแบบจัดเต็ม ทั้งน้ำหนักกระเป๋า มีประกันการเดินทาง และที่นั่งแบบ Hot Seat ยืดขาผ่อนคลายได้สบาย มีอาหารร้อน ๆ มาเสิร์ฟถึงที่ ซึ่งจะเปิดให้บินตรงปักกิ่งแล้ว ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2567 ที่ผ่านมา

จองได้เลย : www.airasia.com และแอป AirAsia MOVE

การเดินทางในปักกิ่ง

1.รถไฟใต้ดิน

ราคาเริ่มต้นเที่ยวละ 3 หยวน สามารถซื้อได้ที่เครื่องอัตโนมัติสแกนจ่ายผ่าน Alipay ได้เลย เหมาะกับไปสถานที่เที่ยวยอดฮิต วิธีดูการเดินทางก็ง่าย ๆ ให้โหลดแอปฯ Baidu Map เพื่อดูสถานีที่เราจะลง หรือดูในแอปฯ MetroMan ตามถนัดเลย

2.รถแท็กซี่ 

สามารถเรียก DiDi ในแอปฯ Alipay ตัดผ่านบัตรได้เลย สะดวกมาก ยิ่งบางสถานที่รถไฟไปไม่ได้ถึง คำนวณแล้วหารกับเพื่อน เผลอ ๆ แท็กซี่ถูกกว่านั่งรถประจำทางอีก ที่สำคัญไม่ต้องเดินไกล เซฟแรงไปเที่ยวได้อีกเยอะ

ข้อควรรู้ก่อนมาปักกิ่ง

Alipay : แอปฯ ที่เอาไว้ใช้จ่ายแทนเงินสดต่าง ๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียกรถแท็กซี่ DiDi ผ่านแอปฯนี้ด้วย สำคัญมากควรมีไว้ทุกคน แนะนำให้เชื่อมกับบัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิตเราตั้งแต่ก่อนเดินทาง

Baidu Map : เหมือนกับ Google Map ที่เป็นเวอร์ชั่นจีน จะไปไหนใส่โลเคชั่นเป็นภาษาจีน จะขึ้นวิธีเดินทางให้เราเลือก

MetroMan : แอปฯ ที่เอาไว้ดูแผนที่เส้นทางรถไฟ

WeChat : มีไว้ติดต่อกับคนจีน ในกรณีที่มีการจองทัวร์อันนี้สำคัญมาก

Google Translate : สำคัญมาก เพราะพี่จีนเค้าส่วนมากจะไม่ใช้ภาษาอังกฤษ ยกเว้นคนรุ่นใหม่ ๆ ที่อาจจะสื่อสารกันได้

My Itinerary

Day 0 : Bangkok – Beijing

Day 1 : Beijing

  • Daxing Airport to Check – In Hotel
  • Red-Brick Art Museum
  • 798 Art District
  • Phoenix International Media Center
  • ISSUE.01 Espresso
  • Wangfujing Pedestrian Street

Day 2 : Universal Beijing Resort

Day 3 : Beijing

  • Great Wall of China – Mutianyu
  • Jingshan Park

Day 4 : Beijing

  • Tiananmen Square
  • The Forbidden City
  • Tiantan Temple of Heaven
  • Choo Choo Cafe
  • Qianmen Street
  • Li Qun Roast Duck Restaurant

Day 5 : Beijing – Bangkok

Day 1 : Beijing

Red-brick Art Gallery

หลังจากเครื่องแลนด์ดิ้งสู่มหานครสองเวลา พวกเราก็เก็บฝากกระเป๋าแล้วนั่งรถมายังโลเคชั่นแรกเอาใจคนชอบเสพความอาร์ต ถ้าได้มาปักกิ่งต้องห้ามพลาดกับพิพิธภัณฑ์อิฐแดง ไม่ว่าจะเรื่องดีไซน์ ห้องจัดนิทรรศการ สวน หรือแม้แต่คาเฟ่ บอกเลยว่าฟีลกู้ดมาก เพราะแต่ละโซนมีการนำอิฐมาตกแต่งและออกแบบได้สร้างสรรค์สุด ๆ เป็นพิพิธภัณฑ์แนวศิลปะร่วมสมัยที่มีมุมสวนเพื่อให้คนเมืองอย่างเรา ได้ผ่อนคลายกับบรรยากาศ แถมได้โพสต์ท่าถ่ายรูปเช็กอินกันแบบเก๋ ๆ

ยิ่งพอได้เข้าไปด้านในก็รู้สึกว๊าวไม่แพ้กัน ตัวอิฐที่ก่อเป็นทางเดินเหมือนเขาวงกต บางจุดเจาะเป็นช่องแสงให้เกิดเงาพาดผ่าน กลายเป็นสถาปัตยกรรมสุดอาร์ตดูสร้างสรรค์แบบสุด ๆ ใครจะไปคิดว่าอิฐแดงธรรมดา ๆ ฟีล Old school จะสามารถสร้างเป็นสถาปัตยกรรมสุดคูลได้มากขนาดนี้ หลังจากเดินเล่นไปเรื่อย ๆ ก็เจอกับสิ่งที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ นั่นคืองานประติมากรรมของกำแพงอิฐที่เจาะทะลุเป็นช่องซ้อนกันต่อเนื่อง เหมือนเรายืนอยู่หน้าประตูมิติ ให้ความรู้สึกเหมือนภาพสะท้อนกระจกยาวไปแบบไม่สิ้นสุด และมีอีกหลายมุมที่จัดไว้ดูสวยงามน่าถ่ายรูป ใครมาเที่ยวปักกิ่งต้องมาเช็กอินกันนะ

ตั๋วเข้าชม : คนละ 150 หยวน

วิธีการเดินทาง : รถไฟฟ้าสาย 15 ลงสถานี Maquanying ทางออก B

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/TEVQkJS5hg5gEpYP9

798 Art Zone

ถ้าโลเคชั่นแรกยังไม่จุใจ เราขอพามาเดินทอดน่อง ผ่อนคลายหาความชิค ความชิล และความเท่ กับย่านงานศิลปะ เขตศิลปะ 798 หรือ 798 Art Zone ที่เป็นย่านศิลปะถูกดัดแปลงจากพื้นที่ที่เคยเป็นโรงงานขนาดใหญ่มาก่อน จนได้ปิดตัวลงเนื่องจากพิษเศรษฐกิจ และกลายมาเป็นพื้นที่จัดแสดงศิลปะของศิลปินร่วมสมัย ตอนนี้ 798 จึงกลายเป็นพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์งานศิลปะ มีร้านค้า ร้านหนังสือ แกลเลอรี รวมถึงการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ มากมาย มีมุมรูปถ่ายน่ารัก ๆ เพียบ

ที่นี่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นอีกคอมมูนิตี้ที่เกิดจากคนชื่นชอบศิลปะมารวมตัวกันจนเกิดเป็นเขตศิลปะแห่งนี้ขึ้นมา เป็นอีกจุดเช็กอินที่เหมาะกับการไปเที่ยวชิล  ๆ โดยเฉพาะจุดไฮไลต์ที่ไม่ว่าใครผ่านไปผ่านมาในย่าน 798 แล้ว จะต้องสะดุดตากับรถคันตุมุตะมิ หลากสีสัน นั่นคือจุดแวะสำหรับสายหวาน ซึ่งเป็นรถขายไอติมอัตโนมัติสุดเก๋ ให้เราได้เสพงานอาร์ตไปพร้อม ๆ กับความเติมความหวานให้สดชื่นอีกด้วย 

วิธีการเดินทาง : รถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 ลงสถานี Dongzhimen Station และต่อรถเมล์สาย 916 ลงสถานี Dashanqiao Esat Station และเดินต่ออีก 7 นาที 

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/aHxCKcMHx3zTe32w7

Phoenix International Media Center

อีกหนึ่งสถานที่สุดเว่อร์วังอลังการของจีนสาย Manmade คือ Phoenix International Media Center ที่ออกแบบตัวอาคารให้ฟีลเหมือนรังนกฟีนิกซ์สุดเก๋ เป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เราสามารถมาเดินเล่น ถ่ายรูป พร้อมเสพงานนิทรรศการที่จะเวียนงานต่าง ๆ ไปมา หรือใครจะหาร้านนั่งดื่มกาแฟในนี้ก็มีให้บริการ

โดยที่นี่เป็นจุดเช็กอินที่หน้าตาคล้ายรังของนกฟีนิกซ์ โครงเหล็กสานเชื่อมกันคล้ายตาข่าย ติดกระจกตามความโค้งเว้าไล่ระดับจากบนลงล่างอย่างมีศิลปะ ภายในอาคารมีทางเดินที่ออกแบบมาให้โค้งตามสัดส่วนอาคารได้สวยงามไม่มีที่ติ ให้ความรู้สึกเหมือนถูกโอบล้อมด้วยเส้นใยสำหรับปกป้องอย่างแน่นหนา เหมือนรังนกที่ปกป้องลูกนก แต่ดูมีความสวยงาม ทันสมัย และดูอบอุ่นในขณะเดียวกัน ถูกใจสายเช็กอินถ่ายรูป ได้เก็บภาพบรรยากาศมุมกว้าง ๆ โพสต์ท่าสวย ๆ แน่นอน

ตั๋วเข้าชม : คนละ 120  หยวน

วิธีการเดินทาง : รถเมล์สาย 3 มาลงที่สถานี Tianshuiyuan Street North Exit Station 

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/4cwBwHnhFxvbrYen7

ISSUE.01 Espresso 咖啡馆

ผ่านมาครึ่งวันขอเอาใจสายคาเฟ่กันบ้างกับร้าน ISSUE.01 Espresso 咖啡馆 ร้านนี้มีจุดเด่นตรงที่ตกแต่งภายในด้วยโทนสีเทา ออกแบบสไตล์ Loft เปิดให้เห็นโครงปูนที่มีรอยสึก กับการเดินสายไฟแบบบ้าน ๆ ผสมผสานความมูจิสีน้ำตาลเบา ๆ ของเฟอร์นิเจอร์โทนไม้ เก้าอี้กับเคาน์เตอร์กาแฟมาเบรกความดิบ ทำให้ดูดีมีสไตล์ เข้ากันได้แบบลงตัวมาก ทุกอย่างภายในถูกจัดวางองค์ประกอบให้ดูเท่ เหมาะกับสายโซเชียลแบบเรา ๆ ให้ได้มาถ่ายรูปรีวิวกันรัว ๆ

ทางร้านมีกาแฟหลากหลายรูปแบบ มีเมล็ดกาแฟให้เลือกดริป ให้เรามานั่งจิบแบบฟิน ๆ เมนูแนะนำที่ขายดีต้องยกให้ Cold Brew รสชาติละมุน ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น มีความเบาสบายสไตล์ Cold Brew และอีกเมนูที่ต้องลองก็คือกาแฟนม หรือ ลาเต้ ที่รสชาติให้ความหวานหอมมันตามสูตรที่ทางร้านทำ เรียกว่าเป็น Signature อย่างที่ 2 ของร้านเลยก็ว่าได้

วิธีการเดินทาง : รถเมล์สาย 1 มาลงที่สถานี Bawangfen East Station และเดินต่ออีก 9 นาที

📍พิกัด : https://j.map.baidu.com/78/tLdg

Wangfujing Pedestrian Street

ปิดท้ายวันด้วยแลนด์มาร์คยอดฮิตอย่างถนนคนเดิน ที่นี่เป็นถนนคนเดินช่วงเย็น เหมาะกับคนที่ชอบนั่งชิลแดดร่ม ๆ มีลมพัด จะไปนั่งแฮงค์เอ้าท์หรือถ่ายรูปกับร้านรวงต่าง ๆ  ก็เหมาะ หรือจะไปลุยกินอาหารแนวสตรีทฟู้ด กับร้านกินเก๋ ๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์ ใครกำลังหาที่เดินเล่นชิล ๆ ออกกำลังกายเบา ๆ เดินหาของกิน แนะนำถนนคนเดินหวังฝูจิ่งเลย สำหรับอาหารส่วนใหญ่ที่พบได้ตามข้างทางทั่วไป เป็นอาหารสตรีทฟู้ดหลากหลายประเภทครบทั้งคาวหวาน แถมที่นี่ยังมีแหล่งชอปปิ้งแฟชั่นตามเทรนด์มากมายวางเรียงรายอยู่ริมทาง เรียกได้ว่าเป็นจุดเช็กอินที่มาใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวันแบบชิล ๆ

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Wangfujing ทางออก C2 หรือ B

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/rx1b3Jw3Zv9tohLPA

Mengtan Korean Food Buffet

ถ้าใครมาวันแรก แล้วคิดไม่ออกว่าจะทานไรมื้อเย็น เราขอแนะนำร้านนี้เลย ที่เค้าจัดเต็มบุฟเฟต์ในราคา 149 CNYต่อคน มีทั้งเมนูเนื้อวัว หมู ไก่ และอื่น ๆ ในรูปแบบทั้งปิ้งย่าง และชาบู เครื่องดื่มไม่อั้น น้ำจิ้มคือดี ใครสัมผัสความอร่อยหลากหลายเมนูในวันแรกแบบเรา ที่นี่ตอบโจทย์สุด ๆ

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Wangfujing ทางออก E3 ร้านอยู่ชั้น 5 ตึก Beijing APM

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/2cM6yQQo4RaW3U5Q6

Day 2 : Day trip Universal Beijing Resort

Universal Beijing Resort

ตื่นเช้า แต่งตัวให้เก๋ เพราะวันนี้เราจะพาทุกคนไปท่องโลกของเหล่าคนรักการ์ตูนและยังเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ต้องร้องงู้ยยยยเมื่อไปถึง!! เพราะนอกจากความน่ารักของเหล่าการ์ตูนตัวโปรดของเราในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเหล่ามินเนี่ยน แฮร์รี่พอตเตอร์ Transformer Jurassic park หรือแม้แต่อาโปจากกังฟูแพนด้า ก็ยกแก๊งค์กันมามอบความสุขให้เหล่าแฟนคลับ  ซึ่งภายใน Universal นี้เค้าจัดโซนให้เราได้เข้าร่วมเล่นเครื่องเล่นกันหลายโซนแบบจัดเต็มได้ทั้งวันแบบไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว และที่นี่ยังเป็น Universal ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย!!

ตั๋วเข้าชม : คนละ 3,300 บาท สามารถซื้อได้จากทาง Klook ตั้งแต่ไทย สามารถสแกนบาร์โค้ดตรงประตูทางเข้าได้เลย สะดวกมาก

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 7 ลงสถานี Universal Resort ทาง B หรือ C และเดินต่ออีก 5 นาที

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/1MbGmCpwhrADjbkK9

เริ่มตั้นแต่โซน Transformer อันนี้ใครชอบความระทึกแนะนำเครื่องเล่น Decepticoaster ที่เป็นเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา สนุกแบบกอไก่ล้านตัวไปเลย

โซนเหล่ามินเนี่ยนที่น่ารัก น่าถ่ายรูปที่สุดแล้ว โดยที่นี่จะค่อนข้างใหญ่ มีร้านขายของ และโซนเครื่องเล่นมากมาย แต่ใครเป็นสายถ่ายรูปต้องเลิฟโซนนี้ เพราะมีมุมน่ารัก ๆ ถ่ายน้องเพียบบบ

และอีกหนึ่งโซนที่เป็นไฮไลต์ของ Universal Beijing Resort คงหนีไม่พ้นโซน “กังฟูแพนด้า” ที่เค้ามีเฉพาะที่นี่เท่านั้น โดยบริเวณนี้เราจะได้ชมความน่ารักของเหล่าน้องแพนด้ามากมาย เริ่มตั้งแต่โซน In Door ที่เราจะได้เพลิดเพลินไปกับตัวการ์ตูนมากมาย มีเครื่องเล่นและโซนขายของเพียบ เอาเป็นว่าโซนนี้ต้องกาดอกจันตัวโต ๆ เลยว่าห้ามพลาดเด็ดขาด

ถึงโซนที่เราเลิฟที่ต้องคงหนีไม่พ้นโซน Harry Potter ที่เค้าจำลองเสมือนเป็นโรงเรียนฮอกวอตส์อย่างละเอียด ที่มีทั้ง The Forbidden Journey เป็นขบวนรถไฟ เป็นอีกหนึ่งโซนที่เราชอบมาก ถ่ายรูปสนุก ๆ

โดยไฮไลต์ความปังของที่นี่แนะนำให้อยู่ดูโชว์ไฟเวลา 20.00 น. ที่ปราสาทฮอกวอตส์ รับประกันความปังแบบสิบเต็มสิบ พี่จีนเค้าทำถึงจริง ๆ ปรบมือให้รัว ๆ เลย

นอกจากนั้นยังมีขบวนพาเรดสุดอลังการที่ทาง Universal จัดให้ซึ่งจะพลาดได้ยังไง! ขอแนะนำว่าให้อยู่จนถึงเวลา 18.00 น. เพราะจะเป็นเวลาโชว์ตัวของเหล่าตัวละครต่าง ๆ ในขบวนพาเหรด รับรองว่าสวยงามอลังการ สนุกสนาน ไม่แพ้ที่ไหนแน่นอน


Day 3 : Beijing

Great Wall of China (Mutianyu)

เที่ยวสไตล์ยุคปัจจุบัน และอนาคตกันไปเยอะแล้ว วันนี้เราขอพาทุกคนย้อนเวลามาเสพประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 2,500 ปี และยังเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ด้วยฝีมือของชาวจีนกว่า 1 ล้านชีวิต!  โดยที่นี่หลายคนรู้จักกันในชื่อที่เรียกว่า “กำแพงเมืองจีน” ที่มีความยาวกว่า 21,196 กิโลเมตร สุดยอดความอลังการที่เคยเห็นแต่ในภาพ ไม่คิดว่าของจริงว้าวขนาดนี้ โดยรอบนี้เราเลือกซื้อเพ็คเกจ One Day Trip ทัวร์กำแพงเมืองจีนด่านมูเถียนหวี่ ของ Klook ตั้งแต่ไทยมาตกคนละ 632 บาท โดยก่อนวันเดินทางจะมีไกด์ทัก Whatapp มานัดเวลา และสถานที่ขึ้นรถอีกที อันนี้แนะนำเลยสะดวกมาก

กำแพงเมืองจีนมีด่านที่ให้เลือกขึ้นได้ตามที่เราสะดวก ซึ่งด่านที่เราเลือกไปในครั้งนี้คือ “ด่านมู่เดียนยวี่” เป็นจุดที่กำแพงมีการปรับปรุงน้อยที่สุดหรือเรียกได้ว่าใกล้เคียงของจริงที่สุด และในจุดนี้เราจะได้เห็นหอสังเกตการณ์ ดูแล้วน่าจะเป็นป้อมสำหรับพลแม่งปืน โดยรวมมีวิวที่สวยงามเอาเรื่อง สามารถเดินขึ้นได้ด้วยบันไดกว่า 4,000 ขั้น เหมาะสำหรับคนที่อยากท้าทายความสามารถ และมั่นใจในกำลังขาของตัวเอง สำหรับสายชิลอย่างเรา ๆ ขอเลือกนั่งกระเช้าจ้า เพราะจุดนี้ก็มี Cable Car ให้บริการเหมือนกันราคาไปกลับคนละ 140 หยวน (700 บาท) เท่านั้น  สำหรับคนที่อยากนั่งกระเช้าชมวิวมุมสูง แนะนำให้ลองนั่ง เพราะจะมองเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของกำแพงเมืองจีนและวิวสวยงามรอบ ๆ เลยแหละ

Jingshan Park

ชมความสวยงามของกำแพงเมืองจีนกันจนเต็มอิ่มแล้ว พวกเราก็ขอมารับลมชมวิวกันต่อที่ Jingshan Park อยู่ใกล้กับพื้นที่ของพระราชวังต้องห้าม สามารถออกจากประตูด้านทิศเหนือของพระราชวังแล้วเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Tongzi ก็จะถึงสวนเลย  โดยสวนแห่งนี้เปิดให้เข้าชมเพื่อมาพักผ่อน และถ่ายภาพกับจุดชมวิวมุมสูงใจกลางเมือง บรรยากาศรอบตัวจะเต็มไปด้วยสีเขียว ๆ สบายตา แต่ถ้าได้มองภาพจากมุมสูงก็จะเป็นบรรยากาศอีกแบบ เพราะเป็นพื้นที่กว้างขวาง มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น จนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นป่าขนาดย่อมกันเลยทีเดียว หลังจากลุยเที่ยวพระราชวังต้องห้ามกันมาแบบหนักหน่วง ได้มาพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศสวนและต้นไม้ สามารถชาร์จแบตร่างกาย ให้มีแรงเที่ยวต่อ เพราะปักกิ่งมีอะไรน่าสนใจเยอะมากจริง ๆ

วิธีการเดินทาง : รถเมล์สาย 2 และ 13 ลงสถานที Jingshan Dongmen

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/wzdaSRkAVw9MBxHi9

Tiananmen Square

มาเช็กอินปักกิ่งใครมาไม่ถึง “จัตุรัสเทียนอันเหมิน” ถือว่าไม่ได้มาปักกิ่ง เพราะเป็นจุดเช็กอินที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่เลย จัตุรัสเทียนอันเหมินสี่เหลี่ยมขนาดมหึมาใจกลางเมืองที่สามารถจุคนได้เป็นล้านคน ถ้าลองได้ไปยืนตรงกลางแล้วจะรู้สึกเหมือนเราเป็นจุดเล็ก ๆ บนพื้นที่สี่เหลี่ยมขนาดยักษ์ ในจัตุรัสฯ นี้มีพื้นที่เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่าง ๆ อยู่โดยรอบเหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์

และเมื่อมาถึงประตูเทียนอันเหมินซึ่งเป็นประตูสู่พระราชวังต้องห้าม จะเห็นเป็นประตูบานใหญ่อลังการ ที่สร้างมานานกว่า 600 ปี มีลักษณะเป็นกำแพงสูงใหญ่สีแดงสดและมีรูปของเหมาเจ๋อตงอยู่ตรงกลางประกอบกับตัวหนังสือขนาบข้างเขียนว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ” และ “ความสามัคคีประชาชนทั่วโลกจงเจริญ” 

ตั๋วเข้าชม : ต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยก่อนวันไป 1 วัน สามารถจองผ่าน WeChat ได้ฟรีโดยค้นหาคำว่า 天安门广场 

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Tiananmen East ทางออก A หรือ Tiananmen West ทางออก B

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/SWtQDfKxzgUQctTx6

The Forbidden City

พระราชวังต้องห้ามถูกยกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกด้านโบราณสถานที่ทำจากไม้ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในมีเรื่องราวของพระจักรพรรดิในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง ทั้ง 28 พระองค์ที่ปกครองประเทศมายาวนานกว่า 5 ศตวรรษ ความใหญ่โตของที่นี่เรียกว่าพระราชวังยังดูน้อยไปเพราะมีพื้นที่กว่า 720,000 ตร.ม. มาพร้อมตำหนักอีกกว่า 980 หลัง และมีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง  ใครที่เป็นสายประวัติศาสตร์ หรือชื่นชอบซีรีย์จีนย้อนยุค ถ้าได้มาที่นี่จริงซักครั้ง รับรองว่าประทับใจ

ไฮไลต์ของที่นี่จะมีทั้งหมด 3 ตำหนักที่สำคัญคือ “ตำหนักไท่เหอ” ที่เป็นตำหนักสูงสุดของจีนสมัยก่อน โดยมีกฎห้ามไม่ให้ใครสร้างตึกที่สูงกว่าโดยเด็ดขาด “ตำหนักเป่าเหอ” ตำหนักที่เอาไว้จัดงานเฉลิมฉลองงานต่าง ๆ และสุดท้าย“ตำหนักจงเหอ” ตำหนักที่เล็กที่สุด เป็นที่พำนักของฮ่องเต้ทั้งหมด

ตั๋วเข้าชม : ใบละ 85 หยวน (425 บาท) จองล่วงหน้าได้ที่ Klook หรือ : https://www.facebook.com/share/pEg8Sk3yKE47JNcn/?mibextid=WC7FNe วิธีการจองต้องจองล่วงหน้าก่อนวันเข้าจริง 7 วัน

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 1 สถานี Tiananmen East ทางออก A หรือ Tiananmen West ทางออก B

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/U83UenauzgmN9F668

Tiantan Temple of Heaven

แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ พอได้มาเห็นของจริงก็ต้องบอกเลยว่างดงามสมมงสุด ๆ โดยชื่อนี้เป็นความเชื่อที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนว่าเป็นสถานที่ใช้สักการะบูชาธรรมชาติ และสื่อสารกับท้องฟ้าเพื่อขอพร ให้คุ้มครองเมืองจากภัยธรรมชาติ ด้านในมีสถาปัตยกรรมที่มีความหมาย มีสตอรี่ และมีดีเทลเยอะมากมาย แถมยังเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ และเก่าแก่โบราณ เหมาะกับคนชอบประวัติศาสตร์สุด ๆ

หอสักการะฟ้าเทียนถัน แค่มองก็รู้เลยว่าพิถีพิถันใส่ใจกับออกแบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็นลวดลาย หรือการวางโครงสร้างให้อยู่ในพื้นที่โล่ง ๆ สื่อได้ถึงความยิ่งใหญ่ มีตำหนักเป็นจุดเช็กอินเล่าเรื่องราวที่สามารถร้อยเรียงกันได้แบบเป็นฉาก ๆ ต่อเนื่องมาตั้งแต่จัตุรัสเทียนอันเหมิน มาพระราชวังต้องห้าม ต่อด้วยสวน Jingshan และมาจนถึงสถานที่แห่งนี้ ใครที่มาเที่ยวตามรูทนี้ก็อย่าลืมแวะถ่ายรูปหอสักการะฟ้าเทียนถันนะ เพราะได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกแห่งนึงในเมืองปักกิ่งนี้เลย 

ตั๋วเข้าชม : คนละ 30 หยวน (150 บาท) แนะนำให้จองผ่าน Klook และนำบาร์โค้ดสแกนตรงทางเข้าได้เลย ไม่ต้องรอต่อคิวซื้อตั๋วหน้างาน

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 5 ลงที่สถานี Tiantandongmen ทางออก A1

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VRbtuz2JcFS37KBC9

Choo Choo Cafe

ถึงเวลาพักเบรกชิล ๆ กันที่คาเฟ่ Choo Choo Cafe อยู่ใกล้ ๆ หอสักการะฟ้าเทียนถันกันบ้าง คาเฟ่แห่งนี้ เป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งเป็นเอกลักษณ์สุด ๆ มีกลิ่นอายวินเทจเบา ๆ ด้วยประตูที่ทำจากไม้ มีนาฬิกาเรือนกลมติดอยู่เหนือประตูทางเข้า พอเปิดประตูเข้าไป เป็นประตูแนวย้อนยุคเหมือนได้หลุดเข้าไปในยุคสายลับชาวอังกฤษที่กำลังสืบคดีในโรงขายตั๋วรถไฟ เป็นคาเฟ่ถ่ายรูปสวย ตามสไตล์ พส ชาวจีนทั้งหลาย ไม่ว่าจะมุมไหน ก็ถ่ายรูปออกมาดูดีมีสไตล์ ด้วยกิมมิกหน้าต่าง ที่ทำออกมาคล้ายหน้าต่างขบวนรถไฟ มีตั๋วเก่า ๆ โบราณให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป โดยด้านในตกแต่งสวยงามไม่แพ้ด้านนอก มีเคาน์เตอร์สำหรับสั่งเครื่องดื่มเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้เก๋ ๆ ตัดกับสีกระเบื้องภายในร้าน ที่นั่งถูกออกแบบคล้ายเบาะนั่งในรถไฟโบกี้ยุคเก่า ใครแต่งตัวจัดเต็มมา รับรองถ่ายรูปออกมาได้สวยปัง

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 7 สถานี Hufangqiao ทางออก B แล้วเดินขึ้นทางเหนือราว ๆ 100 เมตร

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/hjgWxLDHWg3ybp549

Qianmen Street

ไม่ไกลจากจัตุรัสเทียนอันเหมิน อยากจะมาแนะนำให้รู้จักกับ Qianmen Street เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำหรับฝากท้องแบบจุก ๆ แถมยังเหมาะกับสายชอปปิ้งอีกด้วย มีทั้งของซื้อของฝาก มีอาหารร้านเด็ดน่าแนะนำหลายอย่างมาก ๆ เลยอยากจะขอยกตัวอย่างของกินที่เรียกว่า MUST EAT!! เท่านั้น อย่างแรกเลยคือ “เข่าโหยวหยูช้วน” หรือปลาหมึกเสียบไม้ย่าง รสสัมผัสเนื้อปลาหมึกเด้ง หวานฉ่ำ มีความเผ็ดร้อนหอมสมุนไพรจากหม่าล่าฉบับต้นตำหรับจีนแท้ ๆ ใครเป็นสาวกหม่าล่าต้องห้ามพลาด

อย่างที่สองที่ต้องลอง “เหล่าเป่ยจิงเป้าตู่เฟิ้น” ได้รับรางวัลมิชชิน ปี 2022 คือวุ้นเส้นผ้าขี้ริ้วทอดคลุกเต้าเจี้ยวหม่าล่า ฟีลกรุบ ๆ นัว ๆ มีเท็กเจอร์สัมผัสที่ล้ำมาก มีรสเผ็ดเบา ๆ เข้ากันดีกับความหอมเต้าเจี้ยว บอกเลยว่าอร่อยเหาะแถมตบท้ายล้างปากกันด้วย “Hey Tea” ชาสุดป๊อบในย่านนี้ เห็นจากคนที่ต่อแถวซื้อแล้วน่าจะการันตีความอร่อยได้ มาตะลุยกินทั้งที มีของคาวแล้วต้องต่อด้วยของหวาน ขอเดินเข้าไปลองกันหน่อย เป็นไปตามคาด รสชาติของชาหอมกรุ่น แม้จะเป็นเมนูเย็นแต่ทำออกมารสชาติดี ดื่มแล้วสดชื่นมาก ใครแวะมาเที่ยวย่านนี้ต้องลอง 3 ของกินห้ามพลาด บอกเลยไม่ผิดหวัง!

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดิน Line 8 ลงสถานี Qianmen ทางออก I

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ydeC9x7RsuYLoAZr6

Li Qun Roast Duck Restaurant

มาส่งท้ายทริปปักกิ่งกันที่ Li Qun Roast Duck Restaurant เป็นร้านที่ขายอาหารเมนูเป็ดสืบทอดกันมายาวนานกว่า 100 ปี กิมมิกของทางร้านคือเป็ด 1 ตัวเราจะเอาแต่ละส่วนไปทำอาหารทั้งเอาไปทอด รวนเกลือ ทำเป็นเป็ดปักกิ่ง และมีเครื่องเคียงสำหรับกินกับเป็ด หรือใครจะสั่งเป็นเซ็ตเมนูทางร้านก็จัดให้ได้ จากที่ได้ลองบอกเลยว่าเป็ดอร่อยมาก ไม่มีกลิ่น มีแต่ความหอม ที่สำคัญคือตัวหนังเป็ดกรอบมาก เนื้อนุ่มละมุนลิ้นฟินเวอร์ กินคู่กับเครื่องเคียงและน้ำจิ้มสูตรของทางร้านเข้ากันอย่างลงตัว

ถ้าเราสั่งเมนูเป็ดปักกิ่ง จะพิเศษตรงที่มีเชฟมาหั่นเป็ดให้เห็นกันเลย ถูกใจสายโซเชียลอย่างเรา ๆ ที่ต้องทำคอนเทนต์กันสักหน่อย ส่วนการหั่นเป็ดของทางร้านนั้นจะไม่หั่นแค่หนังกรอบ ๆ เท่านั้น แต่จะมีติดเนื้อมาให้ด้วยให้ฟีลเหมือนกินเป็ดย่างเนื้อฉ่ำ ๆ ได้เท็กเจอร์ความกรุบกรอบในปาก ร้านนี้เป็นร้านที่มีทั้งบุคคลสำคัญและคนดังมากินและถ่ายรูปติดไว้ที่ร้านเยอะมาก การันตีความอร่อยได้เลย

วิธีการเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 8 ลงสถานี Qianmen ทางออก Southeast และเดินต่ออีก 8 นาที

📍พิกัด : https://maps.app.goo.gl/gRSq3zL1Yt94L6m18

Beijing Daxing International Airport

ก่อนบินกลับไทยเราขอรีวิวสนามบินสุดอลังการ “ท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่งต้าชิ่ง” กันหน่อย โดยที่นี่เค้าได้ชื่อว่ามีอาคารเทอร์มินอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก ออกแบบได้หรูหรา ทันสมัย มีของขายและ Facility อำนวยความสะดวกเพียบ แถมยังมีร้านกาแฟให้เราได้นั่งรอเวลาเช็กอินมากมาย ใครที่เที่ยวเต็มวันแล้วนั่งรถไฟมานอนโรงแรมหรือแคปซูลในสนามบินรอเช็กอินก็ได้เช่นกัน เรียกได้ว่าเที่ยวได้แบบเต็มอิ่มสุด ๆ ไปเลย

ส่วนขาเข้าก็มีบริการเอาใจสายเที่ยวแบบพวกเราสุด ๆ โดยบริเวณตรงช่องรับกระเป๋า ใครที่ต้องการเข้าเมืองแล้วเที่ยวต่อเลย เค้าก็มีห้องอาบน้ำให้บริการแบบฟรี ที่สามารถแต่งตัวแบบจัดเต็มแล้วรอรถไฟฟ้าเข้าเมืองได้เลย หรือใครเน้นสบายแนะนำเรียกรถแท็กซี่จากแอป DiDi ประมาณ 170-180 หยวน โดยจุดขึ้นรถจะอยู่ตรงอาคารจอดรถ P1 ชั้น 1M ส่วนขาออกเค้าก็มีบริการเก้าอี้นวดไฟฟ้าบริเวณ Gate ต่าง ๆ  แต่อันนี้มีค่าบริการนะทุกคน

สรุปค่าใช้จ่ายคร่าว ๆ ทริปปักกิ่ง

– ค่าโรงแรม 8,000/4คืน หาร 2 คนตกคนละ 4,000

– ค่าบัตรเข้า USJ คนละ 3,3000

– ค่าบัตรทัวร์กำเมืองจีน + กระเช้าไปกลับ คนละ 1,300

– ค่าเข้าสถานที่ต่าง ๆ 1,000

– ค่าเดินทางรถไฟ + DiDi ตลอดทริปคนละ  600

– ค่าอาหาร 3,000

=  ค่าใช้จ่ายทั้งหมดราว ๆ 13,000 – 15,000 บาท  ( ไม่รวมตั๋ว ) ถือว่าถูก เก็บครบทุกแลนด์มาร์ค ที่สำคัญอาหารอร่อยม๊ากกก

จบทริปเที่ยวปักกิ่งแบบชิค ๆ ที่ทั้งเดินทางง่าย สะดวก แล้วก็เที่ยวได้หลากหลายครบทุกไลฟ์สไตล์  อาหารอร่อย มีจุดชมวิวสวย ๆ มากมาย แถมแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์ มรดกโลก ให้เราได้เข้าไปสัมผัสเรื่องราว และความอลังการ มาได้ทั้งสายอาร์ต สายคาเฟ่ สายกิน ฟินทุกจุดเช็กอิน แถมคุ้มงบได้ไม่บานปลาย เก็บครบทุกแลนด์มาร์คสำคัญ ใครอยากตามรอยทริปนี้ จองตั๋วเครื่องบินเลย เส้นทางบินดอนเมือง – ปักกิ่ง กับแอร์เอเชีย รับรองคุ้มค่าตลอดทั้งเส้นทาง เป็นทริปที่น่าประทับใจตั้งแต่เริ่มเดินทางจนจบทริปเลย!

,

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *