Murmansk : The Arctic Gem in Northwestern Russia 🇷🇺
ทริปนี้เราจะพาทุกคนหนีร้อนไปจอยความเย็นฉ่ำขั้นติดลบเมืองสุดขอบฟ้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของทะเลอาร์กติก และแสงเหนืออันน่าหลงใหล เข้าได้แบบไม่ต้องงขอวีซ่า แถมค่าครองชีพไม่แรงแบบคุ้มสุด ๆ หน้าหนาวคือขาวหิมะโพลนไปทั้งเมือง ฟ้าคือโคตรแสงเหนือขึ้นแทบทุกวันแบบไม่ต้องเสียเวลาสวดภาวนา แค่เดินออกไปกลางหิมะก็คือได้เห็นของจริง!
ส่วนใครอยากมันส์ขนาดไหนก็มีทั้งทัวร์ตะลุยหิมะ โซ้ยปลาแซลมอนสด ๆ สไตล์รัสเซีย ลองให้อาหารกวางเรนเดียร์ตัวเป็นๆ หรือขี่เลื่อนกวางแบบซานต้า และลองขับสโนว์โมบิลก็มีครบ เตรียมแพ็กโอเวอร์โค้ตให้พร้อม แล้วมามันส์ให้สุด ฟินสุดเหวี่ยงกับเมืองเกือบสุดขั้วโลกเหนืออย่าง Murmansk ไปด้วยกันเลย!




Flight Moscow to Murmansk
การเดินทางเราเลือกบินจากประเทศไทยไปลงเที่ยวมอสโก 2 วันก่อน และค่อยต่อเครื่องบินมาที่ Murmansk อีกที ใช้เวลาบินแค่ 2 ชั่วโมง โดยเมืองนี้ตั้งอยู่ตอนเหนือของประเทศรัสเซีย ใกล้กับประเทศฟินแลนด์ นอเวย์ และยังอยู่ติดมหาสมุทรอาร์กติก ทำให้เรามีโอกาสได้เห็นแสงเหนือแบบเดียวกับประเทศแถบสแกนดิเนเวีย แต่ที่สำคัญนั้นราคาที่นี่ถูกเว่อร์ทั้งค่าตั๋ว ค่าครองชีพ และค่าทัวร์อยู่แค่หลักพักเท่านั้น
ส่วนการเดินทางเที่ยวตลอดทริปนี้เราเลือกใช้บริการทัวร์จาก FB : Vsevolod Kiislyakov ที่เป็นทั้งไกด์ คนขับรถ และช่างภาพในการถ่ายแสงเหนือให้เรา ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ไม่คุ้นชิน เราแนะนำให้ใช้ไกด์ท้องถิ่นจะสะดวกต่อการเที่ยวมาก ๆ และเค้ายังเก่งในเรื่องตามล่าแสงเหนือให้เราอีกด้วย

My Itinerary
Day 1 : Moscow – Murmansk
- Dinner at Terrasa
Day 2 : One Day Trip to Teriberka Village
- Teriberka Village
- Ship Graveyard
- Snowmobile
- Frozen Waterfall
- Dragon Eggs Beach
Day 3 : One Day Trip to Saami Village – Aurora Hunting
- Saami Village
- Aurora Hunting
Day 4 : Murmansk – Moscow – Bangkok

Day 1 : Moscow – Murmansk
Murmansk
หลังจากเราเครื่องบินแลนด์ดิ้งลงสู่สนามบิน Murmansk ก็ได้นัดกับไกด์ให้มารับพวกเราเพื่อมาส่งเราที่โรงแรม แนะนำให้จองใกล้ ๆ กับใจกลางเมืองเพราะสะดวกต่อการหาร้านอาหาร ส่วนบรรยากาศในเมืองให้ฟีลไซบีเรียตอนเหนือสุดรัสเซียสุด ๆ โดยหิมะปกคลุมทั้งเมืองแทบจะครึ่งปี ตึกเก่าโซเวียตสไตล์เรียงรายทั่วเมือง ให้ความรู้สึกเหมือนเดินอยู่ในฉากหนังสายลับยุคสงครามเย็น แต่พอพระอาทิตย์ตก แสงไฟส้ม ๆ ของเมืองก็ทำให้ทุกอย่างดูอบอุ่นแบบมีเสน่ห์ขึ้นมาเลย
แถมเมืองนี้เรายังสามารถเห็นแสงเหนือได้ง่ายที่สุดในโลก ไม่ต้องเดินทางไปไกล แค่เดินออกไปกลางหิมะก็มองเห็นแสงสีเขียว-ม่วงพาดอยู่บนท้องฟ้าแล้ว อีกมุมหนึ่งของเมืองก็มีวิวทะเลอาร์กติกสุดอลังการ เรือสินค้าขนาดยักษ์แล่นผ่านผืนน้ำเย็นยะเยือก เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อยากเห็นแสงเหนือต้องมาสักครั้ง




Terrasa Bar&Restaurants
ถ้าจะหาร้านอาหารใน Murmansk ที่ทั้งอร่อย บรรยากาศดี และให้ฟีลอบอุ่นท่ามกลางอากาศติดลบ ‘Terrasa’ คือยื่นหนึ่งเลยเพราะร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่อง ซีฟู้ดสดๆจากทะเลอาร์กติก โดยเฉพาะ คิงแครบตัวโตๆหอยเชลล์เนื้อเด้ง และปลาแซลมอนสุดพรีเมียม ที่เสิร์ฟกันแบบเน้น ๆ ใครสายเนื้อก็มี สเต็กเนื้อฉ่ำๆ หรือจะสั่งซุปอุ่น ๆ ให้คลายหนาวก็คือฟินไม่ไหว บรรยากาศในร้านเหมาะแก่การนั่งชิลล์อีกกด้วย มีทั้งเครื่องดื่มและเมนูอาหารให้เราได้เลือกลิ้มลองมากมาย มาพร้อมกับราคาที่ถูกเกินรสชาติ ใครมาเมืองนี้เราขอแนะนำร้านนี้เลย




Day 2 : One Day Trip to Teriberka Village
Teriberka Village
แปดโมงเช้าไกด์ก็ขับรถมารับที่โรงแรม เพื่อเดินทางไปยังเทอริเบอร์ก้า (Teriberka) หมู่บ้านชางประมงที่อยู่ด้านบนสุดติดกับมหาสมุทรอาร์กติก โดยใช้เวลาเดินทางราว ๆ 2 ชั่วโมง โดย Teriberka เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายฝั่งทะเลอาร์กติกของรัสเซีย ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของ Murmansk และเป็นหนึ่งในหมู่บ้านที่เก่าแก่ที่สุดในแถบนี้ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 เดิมทีเป็นชุมชนชาวประมงที่รุ่งเรืองจากอุตสาหกรรมการจับปลา โดยเฉพาะ ‘ปลาคอดอาร์กติก’ แต่หลังจากสมัยโซเวียตล่มสลาย หมู่บ้านนี้ก็ค่อย ๆ ร้างลง ผู้คนย้ายออกไปหางานที่เมืองใหญ่ จนเหลือเพียงอาคารไม้เก่าที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะ กลายเป็นเมืองที่ให้ฟีลดิบ ๆ ลึกลับ แต่มีเสน่ห์แบบแปลกตา
แม้จะเคยถูกลืม แต่ Teriberka กลับมาโด่งดังอีกครั้ง หลังจากถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังรัสเซียเรื่อง Leviathan (2014) ซึ่งทำให้ภาพของหมู่บ้านที่ถูกลมหนาวพัดกระหน่ำและสุสานเรือเก่ากลางน้ำแข็งกลายเป็นไอคอนแห่งความเวิ้งว้าง จนทำใหเปัจจุบันที่นี่กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของเหล่านักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศหมู่บ้านร้างสุดขั้วโลก วิวหน้าผาติดทะเลอาร์กติก และกิจกรรมสุดมันมากมาย แถมที่นี่ยังสามารถชมแสงเหนือได้อีกด้วย





Ship Graveyard
ระหว่างทางเราไปน้ำตกแบตเทอเร เราจะได้เห็นสุสานเรือจมกว่า 12 ลำ เพราะอย่างที่บอกปลายคริสต์ศวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศวรรษที่ 20 ที่นี่เคยเป็นหมู่บ้านประมงที่สำคัญ และยังมีอุตสาหกรรมประมงอีกมากมาย แต่ด้วยความที่ต้องย้ายท่าเรือใหญ่ไปเมืองเมอร์มานสค์บวกกับผู้คนย้ายตามไป ทำให้พวกเรือที่นี่ถูกปล่อยล้างจนมาถึงปัจจุบัน บางลำเหลือแต่โครง บางลำเอียงอยู่ริมฝั่งเหมือนหยุดเวลาไว้ตั้งแต่ยุคโซเวียตแถมเลยซากเรือมานิดนึง เราจะได้เห็นซี่โครงของปลาวาฬใหญ่โต แสดงถึงความอุดรสมบูรณ์ของท้องทะเลที่นี่ ที่ในวาฬเหล่าฝูงปลาวาฬนักเข้ามาในเขตทะเลนี้อยู่เป็นประจำ





Snowmobile
หลังจากขับรถมาสักพักก็ถึงเวลาเปลี่ยนยานพาหนะเป็นสโนว์โมบิล (Snowmobile) เพื่อลุยเข้าไปยังด้านในของตัวน้ำตกแบตเทอเร (Baterey waterfall) โดยใช้เวลานั่งราว ๆ 15 นาที โดยวิวสองข้างทางรอบนี้จะเป็นทะเลบาเรนท์ และสมุทรอาร์กติคที่สวยงาม ยิ่งได้นั่งสโนว์โมบิล ลุยหิมะเข้าไปด้านใน ยิ่งได้ฟีลเหมือนนักผจญภัยในหนังยังไงอย่างงั้นเลย



Frozen Waterfall
หลังจากจุดจอดสโนว์โมบิล พวกเราก็ต้องเดินเท้ามาอีกนิดหน่อย จะเจอกับหน้าฝาที่ไกด์บอกว่าบริเวณนี้คือน้ำตกแบตเทอเร (Baterey waterfall) หรือ Frozen Waterfall ที่แข็งตัวเป็นกำแพงน้ำแข็งติดลบกว่า 10 องศา แถมบริเวณนี้เรายังสามารถเสพบรรยากาศชายฝั่งทะเลอาร์กติกแบบสุดลูกหูลูกตาได้อีกด้วย ใครเป็นสายถ่ายรูปนี้ มุมนี้เตรียมตัวกดชัตเตอร์รัว ๆ ได้เลย





Dragon Eggs Beach
โลเคชั่นสุดท้ายกลางลมหนาวโหด ๆ ของ Teriberka ดันมีหาดที่ดูเหมือนฉากในหนังไซไฟซ่อนอยู่อย่าง Dragon Eggs Beach หรือ หาดไข่มังกร ชายหาดที่เต็มไปด้วยก้อนหินกลม ๆ เด้ง ๆ เหมือนไข่ของสัตว์ในตำนาน ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเรียบกริบ ดูไปดูมาเหมือนมีมังกรแบบจริง ๆ ส่วนบรรยากาศรอบ ๆ คือแบบน่ากลัวเพราะนอกจากเราได้ยินแค่เสียงลม และคลื่นทะเลแล้ว ยังมาพร้อมไอหมอกจาง ๆ และบรรยากาศอึมครึมอีกด้วย




มาถึง Teriberka แล้วไม่ลองซีฟู้ดอาร์กติกถือส่าพลาด เพราะที่นี่ขึ้นชื่อเรื่อง หอยเชลล์ตัวใหญ่เท่าฝ่ามือ เนื้อเด้ง หวานฉ่ำแบบไม่ต้องพึ่งซอส จับกันสด ๆ จากทะเลอาร์กติก น้ำเย็นจัดทำให้เนื้อแน่นแบบสุด! แค่ย่างไฟอ่อน ๆ หรือกินสดเป็นซาชิมิคือฟิน แต่ไฮไลต์ที่ต้องโดนคือ ไข่หอยเม่น ที่ขึ้นชื่อเรื่องความสด และรสชาติเข้มข้นแบบครีมมี่สุด ๆ ตักขึ้นมาจากเปลือก กินเปล่า ๆ หรือจิ้มซอสเบา ๆ ก็คือละลายในปาก นอกจากนี้ยังมี ปูอาร์กติกไข่ปลาแซลมอนและปลาคอดไซส์บิ๊ก ที่สดแบบสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทะเลขั้วโลกให้เราได้ชิมอีกด้วย แต่ตัวข้าวผัดเม็ดข้าวแอบแข็งไปนิดฟีลเหมือนกินข้าวยังไม่สุกเลย


Day 3 : One Day Trip to Saami Village – Aurora Hunting
Saami Village
มาถึงวันสุดท้ายของการเที่ยวเมืองนี้กันแล้ว โดยไกด์จะพาเรามาเรียนรู้ และชมวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง Saami กัน โดยชาวซามิ (Saami People) เป็นชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือสุดของยุโรปที่สืบสายเลือดมาจากชาติพันธ์โบราณที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคแถบนั้นมาตั้งแต่หลังยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว โดยตอนนี้ดินแดนนั้นถูกเรียกว่า Sapmi ที่กระจัดกระจายอยู่ใน 4 ประเทศด้วยกันคือ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ สวีเดน และคาบสมุทรโคลาของรัสเซีย ปัจจุบันชาวซามิเหลืออยู่ราว ๆ 100,000 คนเท่านั้น โดยบรรยาากศที่นี่ให้ฟีลเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลย มีบ้านไม้เล็ก ๆ กลางทุ่งหิมะ ข้างในเต็มไปด้วยข้าวของพื้นเมืองสุดคลาสสิก แถมได้ฟังตำนานและวิถีชีวิตของชาวซามิที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติขั้วโลกแบบดั้งเดิมบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก



ชาว Sami นั้นค่อนข้างมีประวัติที่ผูกพันกับกวางเรนเดียร์เป็นพิเศษ เพราะในอดีตชาวซามิ พวกเขาจะล่ากวางเรนเดียร์ป่าเพื่อการดำรงชีพ ทั้งเอาขน และหนังมาทำเสื้อผ้ากันหนาว เค้าว่ากันว่าเสื้อที่ทำจากหนังกวางเรนเดียร์กันอุณหภูมิได้ถึงติดลบ 70 เลยทีเดียว จนต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 17 มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้กวางเรนเดียร์นั้นถูกเปลี่ยนให้เป็นสัตว์เลี้ยงห้ามล่า ซึ่งปัจจุบันเราจะได้เห็นชาว Sami กวางเรนเดียร์เพื่อเป็นพาหนะซะเป็นส่วนใหญ่




แต่ไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้คือ ให้อาหารกวางเรนเดียร์ตัวเป็นๆ! กวางเรนเดียร์ที่นี่คือโคตรน่ารัก ขนฟู ตากลม แถมเชื่องสุด ๆ แค่ยื่นมือล่อด้วยมอส หรืออาหารโปรด น้องก็เดินเข้ามากินแบบไม่เขินเลย แถมที่นี่ยังมี เลื่อนกวางเรนเดียร์ ให้ลองนั่ง ขี่ลากผ่านทุ่งหิมะ ได้ฟีลซานต้าตัวจริงเสียงจริงอีกด้วย แต่ที่สำคัญเลยคือการเลี้ยงกวางเรนเดียร์นั้นเป็นอาชีพที่ถูกสงวนให้เฉพาะพวกชาวซามิทำได้อย่างถูกกฏหมายเท่านั้นนะ





Aurora Hunting
กลับมาพักผ่อนที่โรงแรมพร้อมทำใจแล้วว่า ครั้งนี้น่าจะอดเจอแสงเหนือแน่นอนเพราะด้วยสภาพอากาศมืดครึม ฟ้าปิด ฝนตก แต่ก็เหมือนมีเสียงสวรรค์โทรมาตอน 2 ทุ่ม ขณะที่เรานั่งทานข้าวกันอยู่ว่า ตอนนี้สามารถออกมาดูแสงเหนือได้แล้วนะ ไม่รอช้าเรียกพนักงานเช็คบิลแล้วให้ไกด์มารับทันที
โดยการล่าแสงเหนือนั้นมีองค์ประกอบที่ถือว่ายากพอสมควร เริ่มตั้งแต่ สภาพอากาศวันนั้นต้องดี ท้องฟ้าโปร่งจนสามารถมองเห็นดาวได้ และในวันนั้นต้องมีค่า Kp index ที่เป็นตัววัดการสั่นสะเทือนของสนามแม่เหล็กโลก เริ่มตั้ง 0 จนถึง 9 หรือถ้าจะให้เข้าใจง่าย ๆ ยิ่งค่า KP เยอะ ก็มีโอกาสเห็นแสงเหนือที่ชัด และแรงมาก แต่ใด ๆ คือคืนนั้นฟ้าต้องเปิดด้วยนะ ข้อดีของการมากับไกด์ท้องถิ่นคือ เค้าจะมีกลุ่มในการแชร์ข้อมูลกันว่าตอนนี้บริเวณไหนมีแสงเหนือ ไกด์ก็จะมุ่งไปตรงนั้นกัน ถ้าเรามาเองบอกเลยงมหาไปทั้งคืนก็อาจไม่เจอ โดยคืนนี้เราเจอค่า KP ประมาณ 4 ที่เห็นด้วยตาเปล่าได้แบบลาง ๆ ใครอยากสัมผัสแสงเหนือสักครั้งในชีวิต และไม่อยากเดินทางไปประเทศแถบสแกนดิเนเวียที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง เราว่าที่นี่ก็ตอบโจทย์ทุกคนนะ




สุดท้ายนี้ใครอยากเห็นแสงเหนือแบบไม่ต้องลุ้นให้เหนื่อย อยากขับสโนว์โมบิลลุยทุ่งหิมะสัมผัสฟีลขั้วโลกวิวทะเลอาร์กติกสุดอลังแบบจัดเต็ม พร้อมไปสัมผัสเรียนรู้ชาวซามิวิลเลจสุดลึกลับ Murmansk & Teriberka คือที่สุดของเมืองที่ต้องมาเยือนสักครั้ง ถ้าอยากรู้ว่าความหนาวติดลบระดับขั้วโลกเหนือเป็นยังไง อยากล่าแสงเหนือแบบพีคๆ หรือแค่ต้องการซึมซับบรรยากาศไซบีเรียที่หาไม่ได้จากที่ไหน แพ็กกระเป๋าแล้วพุ่งมาที่นี่เลยเพราะ Murmansk & Teriberka ไม่ใช่แค่จุดหมาย แต่มันคือ ประสบการณ์ที่ต้องมาเจอด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิต!



