Summer Road Trip 4 Days in Faroe Islands ประเทศที่น้องแกะเยอะกว่าประชากรคน!
ถ้าต้องหยิบยกประเทศที่มีไวป์ซัมเมอร์สุดฮีลใจ รายล้อมด้วยบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ เราขอให้หมู่เกาะแฟโรห์คือหนึ่งในไม่กี่ที่บนโลกที่วิวระหว่างทางสวยจนเผลอลืมไปเลยว่าเรากำลังจะไปไหน ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่โอบถนนไว้ทั้งสองฝั่ง ทะเลสีฟ้าสุดลูกหูลูกตา เทือกเขาทรงประหลาด และน้องแกะเจ้าถิ่นที่คอยออกเซย์ฮายเราทุกโค้ง มันดีจนไม่รู้จะต้องอวยตรงไหนก่อนเลย เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่รู้จักที่นี่ และอยากรู้ว่าประเทศนี้มีอะไรเที่ยวบ้าง อยู่ส่วนไหนของโลก ตามเราเข้ามาดูและจะรู้ว่าหมู่เกาะแฟโรห์แห่งนี้ควรค่าแก่การเยือน และสัมผัสด้วยตัวเองสักครั้งในชีวิตจริง ๆ





Flight Bangkok (DMK) to Chongqing
การเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่สนามบินเซอร์วากูร์ (Vágar Airport) จำเป็นต้องการเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศแถบสแกนดิเนเวียได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดน แต่ทริปนี้เราเลือกบินมาลงที่เดนมาร์กกัน ส่วนการขอวีซ๋าแนะนำให้ขอประเทศของเดนมาร์ก และแจ้งตอนทำว่าขอวีซ่าพิเศษเพื่อเข้าหมู่เกาะแฟร์โลด้วย
สามารถดูรายละเอียดการขอวีซ่าได้ที่ : https://visa.vfsglobal.com/one-pager/denmark/Thailand/thai/index.html

ข้อควรรู้ก่อนมาประเทศ Faroe Islands
001 : ประเทศหมู่เกาะแฟโร (Faroe Islands) เป็นหมู่เกาะ 18 เกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ อยู่ระหว่างไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสกอตแลนด์ เป็นเขตปกครองตนเองของเดนมาร์ก
002 : ที่นี่ใช้สกุลเงิน “โครนาแฟโร” มีค่าเท่ากับโครนาเดนมาร์ก (DKK) ซึ่งเรทล่าสุดคือ 1 DKK = 5.05 THB
003 : การเดินทางด้วยเที่ยวบิน Bangkok – Faroe Islands ใช้เวลาราว 21–34 ชั่วโมง (รวมต่อเครื่อง)
004 : ช่วง Summer ฤดูร้อน ที่นี่จะเริ่มตั้งแต่มิ.ย. – ส.ค. อากาศเย็นสบาย ลมแรง
005 : ช่วงตั้งแต่เดือนมิ.ย. – ส.ค. จะเป็นช่วงที่เราสามารถเห็นนกพัฟฟิน (Puffin) ที่จะขึ้นมาทำรังบนเกาะได้ ซึ่งเป็นไฮไลต์ของประเทศนี้เลย
006 : Visa ของประเทศหมู่เกาะแฟโรห์สามารถขอผ่าน Schengen เดนมาร์กได้เลย
007 : ประเทศหมู่เกาะแฟโรห์มีเมืองหลวงชื่อ Tórshavn และสนามบินหลักขื่อ เซอร์วากูร์ (Vágar Airport) มีประชากรคนประมาณ 55,000 คน และแกะ 70,000 ตัว
008 : ประเทศนี้เหมาะสำหรับการขับรถเที่ยวเท่านั้น โดยพวงมาลัยจะอยู่ฝั่งซ้าย และที่นี่ไม่มีทางด่วน แต่จะมีค่าเข้าอุโมงค์ทุกครั้ง (บริษัทเช่ารถจะเรียกเก็บย้อนหลัง ) อย่าลืมทำประกันรถ และใบขับขี่ตัวจริง ใบขับขี่สากลด้วยนะ!
009 : ที่เที่ยวส่วนมากจะเป็นแนวธรรมชาติ น้ำตก หมู่บ้านที่เงียบสงบ ภูมิประเทศที่แปลกตา
010 : สุดท้ายใครจะมาประเทศนี้แนะนำให้เตรียมยา เสื้อกันฝนกันลมให้ดี เพราะอากาศที่นี่เปลี่ยนไวม๊ากกก

My Itinerary
Day 0 : Bangkok – Faroe Islands
Day 1: Faroe Islands
- Bøur
- Múlafossur
- หมู่บ้าน Gásadalur
Day 2 : Mykines Island
- Mykines Island
- Puffin at Mykines
- Hiking to Trælanípa
Day 3 : Faroe Islands
- หมู่บ้าน Saksun
- Fossá
- Sjógæti
Day 4 : Faroe Islands
- หมู่บ้าน Gjógv
- หลวงเมือง Tórshavn
- THE TARV Grillhouse
- Suppugarðurin

On The Way
ก่อนเริ่มต้นทริปเราอยากให้ทุกคนได้เห็นวิวสองข้างทางที่บอกเลยว่าใจละลายสุด ๆ ทุ่งหญ้าเขียวๆ มีน้องแกะตัวอ้วนๆ ยืนอยู่ริมถนนแถมอากาศก็ดี มีแดดสลับกับฝนโปรยเบาๆ เทือกเขาทรงประหลาดๆ ส่วนทะเลคืออลังสุด ๆ ขับรถไปมองวิวคือไม่เบื่อเลย และพูดถึงฟาโรห์จะไม่พูดถึง “น้องแกะ” ก็คงไม่ได้เพราะแกะที่นี่มีเยอะกว่าคนอีก! ขับรถไปทางไหนก็ต้องได้เจอ แถมไม่ได้แค่เดินอยู่ไกลๆ บนเขานะ หลายตัวคือเดินตัดหน้ารถ กระโดดข้ามรั้ว และบางตัวยืนเฉยๆ ข้างถนนแล้วหันมาจ้องเราแบบ เอ็นดูสุดๆ มันเติมความอบอุ่นให้กับความกว้างใหญ่ของที่นี่ได้มาก ต้องมาสัมผัสเองจริงๆ ถึงจะเข้าใจว่าทำไมน้องแกะธรรมดาๆ ถึงกลายเป็นไฮไลต์ของทริปได้





Day 1 : Faroe Islands
Bøur
เริ่มต้นทริปแฟโรห์หลังจากเครื่องแลนด์ เราก็ทำการเช่ารถแล้วขับชิลล์ ๆ จนมาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Bøur หมู่บ้านที่อยู่ริมหน้าผาที่สามารถมองออกไปเห็นทะเลแบบสุดลูกหูลูกตา และหนึ่งในไฮไลต์ที่ทำให้ Bøur กลายเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ยอดฮิตคือมุมทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มที่มีบ้านไม้สีเข้มเรียงกันอยู่ข้างเนินพร้อมหลังคาหญ้าแบบโบราณที่กลมกลืนกับธรรมชาติจนแทบแยกไม่ออกว่านี่คือบ้านคน หรือพร็อพถ่ายรูป แถมวิวตรงนี้มองออกไปไกลๆ เราจะเห็นเกาะ Tindhólmur กับ Drangarnir ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำอีกด้วย นี่แค่โลเคชั่นแรกยังว้าวขนาดนี้เลยนะ




Múlafossur
ขับเลยจาก Bøur ไปอีกนิดเดียว เราจะเจอกับอีกจุดไฮไลต์ของประเทศนี้นั้นคือ น้ำตก Múlafossur (มูลาโฟสเซอร์) หนึ่งในแลนด์มาร์กที่ดังที่สุดของหมู่เกาะฟาโรห์ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อ Gásadalur บนเกาะ Vágar ไฮไลต์ของน้ำตกนี้คือมันจะไหลตรงจากหน้าผาสูงสู่ทะเลแบบไม่ผ่านชั้นหิน หรือหาดใดๆ เลย คือเป็นน้ำตกที่ “ตกสู่ทะเล” โดยตรงเลยมาพร้อมฉากหลังคือทะเลกับภูเขาใหญ่ๆ เป็นมุมที่เราว่ามันแปลกและหาดูยากมาก ๆ เลยนะ





หมู่บ้าน Gásadalur
พอแวะดูน้ำตก Múlafossur จนเต็มตาแล้ว แนะนำให้เดินเลยเข้าไปอีกนิดจะเจอกับหมู่บ้านเล็กๆ ชื่อว่า Gásadalur ที่นี่ไม่มีร้านค้า ไม่มีคาเฟ่เก๋ๆ มีแค่ธรรมชาติกับบ้านคนไม่กี่หลัง และแกะเยอะมากกก ความพิเศษคือหมู่บ้านนี้เคยถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่หลายปีเพราะล้อมด้วยภูเขาสูงชันทั้งสามด้าน คนที่นี่เคยต้องเดินเท้าข้ามเขาถึงจะเข้าออกได้ จนกระทั่งอุโมงค์ลอดเขาถูกสร้างในปี 2004 ทุกอย่างถึงเปลี่ยนไป แต่แม้วันนี้จะมีถนนแล้ว หมู่บ้านก็ยังรักษาความเงียบ เรียบง่าย และน่ารักไว้เหมือนเดิมเป๊ะ








Day 2 : Mykines Island
Mykines Island
เกาะเล็กๆ ของหมู่เกาะฟาโรห์ที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของนกพัฟฟิน เจ้าตัวอ้วนกลมสุดน่ารัก ส่วนการเดินทางมาเกาะ Mykines คือการนั่งเรือเฟอร์รีจากหมู่บ้าน Sørvágur ใช้เวลาประมาณ 45 นาที แต่เป็น 45 นาทีที่ไม่เหมือนนั่งเรือไปไหนในชีวิตมาก่อนเลย แค่เรือออกจากท่า วิวก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเทือกเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มีผาสูงชันตั้งตระหง่านริมทะเล กับฟองคลื่นที่ซัดโขดหินจะเรียกว่าสนุกก็สนุก แต่หวาดเสียวก็หวาดเสียว พอใกล้ถึง Mykines จะเห็นหน้าผาสูงชันของเกาะตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ แล้วเรือจะค่อยๆ แล่นเข้าไปจอดที่ท่าเรือเล็กๆ พอลงจากเรือเท้าเหยียบพื้นเกาะปุ๊บ ฝูงนกนับร้อยตัวก็บินโฉบไปมาเหมือนส่งสัญญานต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบเรา





Puffin at Mykines
และไฮไลต์ที่ทำให้เกาะนี้โด่งดังคือช่วงหน้าร้อนประมาณพฤษภาคมถึงสิงหาคม จะเป็นฤดูกาลที่นกพัฟฟินนับพันตัวบินกลับมาใช้ชีวิตบนเกาะนี้อีกครั้ง พวกมันจะมาทำรังอยู่บนหน้าผาสูงที่หันออกสู่ทะเล ตลอดเส้นทางเดินจากหมู่บ้าน Mykines ไปจนถึง Mykineshólmur Lighthouse เราจะได้เห็นพวกน้องพัฟฟินแบบใกล้มากๆ ชนิดที่บางตัวอยู่ห่างแค่ไม่กี่เมตร! โดยเจ้าตัวอ้วนกลม ขาสีส้ม จงอยสามสี หน้าตาเหมือนการ์ตูน จะเดินตุปัดตุเป๋อยู่ตามเนินหญ้า บางตัวก็ยืนเฉยๆ บางตัวกำลังโฉบขึ้นจากทะเลพร้อมปลาติดปาก น่ารักแบบสุดดด ๆ






นอกจากความน่รักของน้อง Puffin แล้ว ภูมิประเทศของ Mykines ก็สวยสุด ๆ เป็นเกาะที่เต็มไปด้วยหน้าผาสูงชัน ทุ่งหญ้าเขียวจัด และแหลมแคบๆ ที่ทอดยาวไปยัง ประภาคาร Mykineshólmur ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเท้าสวยที่สุดของฟาโรห์ บนเกาะมีหมู่บ้านเล็กๆ แค่หนึ่งเดียวชื่อหมู่บ้าน Mykines มีบ้านแค่ไม่กี่หลัง สีสันเรียบๆ ใครชอบธรรมชาติที่แสนเงียบสงบ เราว่าที่นี่ตอบโจทย์สุด ๆ




Hiking to Trælanípa
ช่วงบ่ายเราออกจากเกาะ Mykines แล้วรีบแล่นรถมาอีกหนึ่งโลเคชั่นที่เราประทับใจสุด ๆ คือการเดินเท้าเข้าไปที่ Trælanípa เส้นทาง Hiking ที่ทั้งง่าย วิวดี และปลายทางคือว้าวมาก ๆ โดยพวกเราเริ่มต้นเส้นทางจากทะเลสาบ Sørvágsvatn ที่ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบลอยฟ้า (Lake above the ocean) เพราะพอเดินไปถึงจุดชมวิว Trælanípa เราจะได้เห็นภาพทะเลสาบที่ดูเหมือนลอยอยู่เหนือมหาสมุทรแบบจริง ๆ
ส่วนทางเดินนั้นไม่ยากเลย เป็นดินผสมหญ้า เดินสบายๆ ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ระหว่างทางจะมีวิวทุ่งหญ้ากว้างๆ ลมเย็นๆ และบางช่วงก็เดินขนานกับหน้าผา ที่เราเช้าเพราะมัวแต่แวะถ่ายรูประหว่างทางนี่แหละ





หลังจากเราใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงยังยอดหน้าผา Trælanípa ที่แปลตรงๆ คือ “Slave Cliff” โดยที่นี่มีตำนานเล่าว่าในสมัยไวกิ้ง พวกทาสจะถูกพามาทิ้งลงหน้าผานี้ เพื่อปลดปล่อยจากการเป็นทาสแอบน่ากลัวอยู่นะ แต่บอกเลยว่าความสวยของที่นี่คุ้มค่าแก่การมาสุด ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหน้าผานี้ถึงเป็นจุดแลนด์มาร์คอันโด่งดังของหมู่เกาะแฟโรนี้






Day 3 : Faroe Islands
หมู่บ้าน Saksun
เช้าวันที่ 3 เราขอขับรถเที่ยวชิลล์กันบ้างเริ่มต้นด้วยหมู่บ้านเล็กๆ ริมทะเลสาบที่ถูกล้อมด้วยภูเขาเขียวเข้มแบบ 360 องศา บ้านแต่ละหลังมีหลังคาหญ้าสุดคลาสสิกแบบดั้งเดิมที่กลมกลืนกับภูมิทัศน์รอบๆ จนเหมือนบ้านในนิทานยังไงอย่างงั้นเลย ส่วนไฮไลต์ของที่นี่คือ โบสถ์ Saksun Church ที่ตั้งโดดเด่นริมเนิน และมองลงไปเห็นทะเลสาบสีฟ้า เป็นวิวที่เรียกได้ว่าฮีลใจช่วงเช้าของพวกเราสุด ๆ







Fossá
มาต่อกันที่อีกหนึ่งความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ Faroe Islands กับ Fossá น้ำตกที่สูงที่สุดบนเกาะ และเป็นอีกหนึ่งโลเคชั่นที่สาย roadtrip ห้ามพลาดเด็ดขาด Fossá แปลตรงตัวว่า “น้ำตก” และมันก็สมชื่อสุดๆ เพราะน้ำตกนี้เทตัวลงมาจากหน้าผาสูงแบบสองชั้นใหญ่ๆ ไหลเป็นเส้นยาวลงสู่หุบเขาด้านล่าง ถ้าขับรถผ่านเส้นทางระหว่างหมู่บ้าน Haldórsvík กับ Eiði จะเห็นตัวน้ำตกนี้ได้จากไกล ๆ เลย ยิ่งช่วงหน้าร้อนที่ฝนตกบ่อยแบบนี้ ที่นี่น้ำจะเยอะเป็นพิเศษ




Sjógæti
ระหว่างทางเราได้เจออาหารท้องถิ่นง่ายๆ ที่อร่อยเกินคาด หนึ่งในร้านที่ควรปักหมุดไว้เลยคือ Sjógæti Fisk & Kips ร้านอาหารน่ารัก ๆ ที่เสิร์ฟฟิชแอนด์ชิปส์สดใหม่จากทะเล Faroese แบบกรอบนอก นุ่มใน จนลืมฟิชแอนด์ชิปส์มาเลย ร้านเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ Norðskáli บนเกาะ Eysturoy เมนูเด็ดคือ Fish & Chips แบบ Faroese ดั้งเดิม ที่ใช้เนื้อปลาท้องถิ่นคุณภาพดี ทอดกรอบแบบไม่อมน้ำมัน กินคู่กับมันฝรั่งทอดร้อนๆ และซอส homemade ที่เข้ากันแบบฟิน ๆ ถึงหน้าตาการตกแต่งจานจะไม่หรูหรา แต่บอกเลยว่าเนื้อปลาเค้าอร่อยมาก!




Day 4 : Faroe Islands
หมู่บ้าน Gjógv
เช้าวันสุดท้าย พวกเราขอทำตัวชิลล์ ตื่นสาย ๆ และขับรถลัดเลาะเรื่อย ๆ จนมาโผล่ที่ Gjógv หมู่บ้านปลายแหลมที่ตั้งอยู่ริมผาสูงของเกาะ Eysturoy โดยชื่อ “Gjógv” แปลว่า “ช่องเขา” หรือ “ร่องหิน” ที่เป็นเหมือนไฮไลต์ของหมู่บ้านนี้ โดยช่องแคบธรรมชาติที่ผ่าผ่านหน้าผาลงไปยังทะเลวิวคือสวย แปลก และมีเอกลักษณ์มากๆ โดยเจ้าร่องหินนี้เป็นเหมือน “ท่าเรือธรรมชาติ” ของหมู่บ้านที่ชาวบ้านเคยใช้เป็นจุดจอดเรือเล็กๆ ในอดีต เพราะคลื่นลมแรงแค่ไหนก็ไม่เข้าไปถึงข้างในได้ง่ายๆ จึงทำให้ที่นี่ปลอดภัยสำหรับการจอดเรือ และอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดเช่นกันคือการเดินเล่นริมหน้าผาเหนือหมู่บ้าน ตัวทางเดินจะเป็นแนวเนินเขาเมื่อขึ้นไปแล้วเราจะได้วิวเมืองหมุ่บ้าน Gjógv และทะเลสุดกว้างขวาง








ส่วนบรรยากาศของตัวหมู่บ้านเล็กๆ นี้ก็สุดแสนเงียบสงบ มีบ้านไม้สีสดใสเรียงรายอยู่บนภูเขา มีพื้นหญ้าเขียวทุกมุมเดินได้ ได้ยินเสียงน้ำไหลของลำธาร เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านที่กลมกลืนกับธรรมชาติที่สุดตั้งแต่เราไปมาเลย




เมืองหลวง Tórshavn
ช่วงเย็นเรากลับมาเดินเล่นที่เมืองหลวงเล็กๆ ที่น่ารักที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปกันบ้าง ถึงที่นี่จะเป็นศูนย์กลางของ Faroe Islands แต่กลับมีฟีลอบอุ่น สงบ และเป็นมิตรจนรู้สึกเหมือนไม่ได้มา “เมืองหลวง” เลย ที่นี่เต็มไปด้วยบ้านไม้สีสันสดใสเรียงรายอยู่ริมเนินเขา บางหลังมีหลังคาหญ้า บางหลังก็เก่าแก่ในแบบสแกนดิเนเวียนคลาสสิก ยิ่งเดินเข้าไปในเขต Tinganes หรือย่านเมืองเก่า จะยิ่งตกหลุมรักเข้าไปอีกพราะเป็นโซนที่มีบ้านไม้สีดำ-แดงเรียงรายแทรกตัวอยู่ในตรอกเล็กๆ ให้ฟีลเหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในเมืองเล็กยุคไวกิ้งเลย




THE TARV Grillhouse
หนึ่งในมื้อที่เราประทับใจที่สุดที่ Tórshavn เราขอยกให้ THE TARV Grillhouse ร้านเนื้อย่างกลิ่นหอมที่ตั้งอยู่ริมท่าเรือกลางเมือง โดยเมนูเน้นวัตถุดิบคุณภาพดี เนื้อสเต็กย่างเตาถ่านหอมๆ เสิร์ฟด้วยจานใหญ่จุใจ แต่ราคาจุกอกมาก ส่วนบรรยากาศในร้านก็เรียบ ๆ มีความอบอุ่นแบบ modern nordic เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ใครมาเมืองนี้แล้วอยากให้ลองกัน





Suppugarðurin
แต่ถ้าใครเริ่มคิดถึงรสเอเชียขึ้นมา เราขอแนะนำให้แวะที่ Suppugarðurin ร้านเล็กๆ ใจกลาง Tórshavn ที่เสิร์ฟซุปเอเชียแบบ comfort food ร้อนๆ ให้หายคิดถึงบ้าน มีทั้งราเมน ต้มยำ ก๋วยเตี๋ยว ไปจนถึงเมนูข้าวที่ทำแบบโฮมเมด กลิ่นหอมจากครัวลอยออกมาต้อนรับตั้งแต่ยังไม่เปิดประตูเข้าไป ความดีงามคือวัตถุดิบสดใหม่ และรสชาติเข้มข้น แต่ก็ไม่ถึงกับรสชาติเหมือนซุปบ้านเรานะ



Faroe Islands คือหนึ่งในทริปที่เราประทับใจลำดับต้น ๆ ในชีวิตเลย รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปโลกที่ไม่เคยเจอทั้งทุ่งหญ้าเขียวฉ่ำๆ น้องแกะขนฟูๆ ที่เดินเล่นเต็มริมทาง เจ้านกฟัฟฟินตัวกลมสุดน่ารัก น้ำตกริมหน้าผาสุดแปลกตา หมู่บ้านสุดแสนเงียบสงบที่มีบ้านหลังคาหญ้าเรียงกันอยู่ท่ามกลางขุนเขา ทุกอย่างที่พูดมามันดียังไม่เท่ากับตาเนื้อที่เราได้สัมผัส ใครที่ชอบแนวธรรมชาติ เราขอโหวตให้ Faroe Islands แห่งนี้ เข้าไปอยู่ในลิสต์ของพวกแกเลย





