ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นมักมีอะไรให้เราค้นหาอยู่เสมอ เฉกเช่นทริปนี้ที่เราขอไปตะลุยเที่ยวฝั่ง Tohoku หรือภาคอีสานของประเทศญี่ปุ่นกันบ้าง
ถึงแสงสีตึกรามบ้านช่องจะไม่สวยเท่าที่อื่น แต่ธรรมชาติและกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ ยังคงหลงเหลือให้เราได้สัมผัสอยู่โดยเฉพาะเมือง Yamagata และ Sendai ที่ทำให้เราหลงรักแบบไม่รู้ตัว
ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านจิ้งจอกที่น้อง ๆ พกความน่ารักคาวาอิ้มาทำตัวอ้อนพวกเรารวมถึงเมืองเก่าอย่าง Gizan Onsen ที่ให้กลิ่นความเป็นญี่ปุ่น มองไปทางไหนก็ดูสวยคลาสิกไปซะหมด ความดีงามยังไม่หมดเท่านั้น ตามมาดูกันว่าทริป Tohoku ของเราในครั้งนี้จะมีอะไรอีกบ้าง
Day 0
ทริปนี้เริ่มต้นการเดินทางด้วยสายการบินแห่งชาติอย่าง ”การบินไทย” ที่ตอนนี้ได้เปิดเส้นทางบินตรงจากสุวรรณภูมิสู่เซนได เครื่องใหญ่นั่งสบายแถมได้โหลดกระเป๋าตั้ง 30 กิโลกรัม เอาใจสายช้อปสายพร๊อพแน่น ๆ แบบเรามาก
สำหรับเที่ยวบิน สุวรรณภูมิ – เซนได จะมีเฉพาะไฟลท์ 23:50 น. วันอังคาร พฤหัสบดี และวันอาทิตย์
ส่วนขากลับจะเป็นไฟล์ท 11:15 น. วันจันทร์ พุธ และศุกร์เท่านั้นนะ
จองและซื้อบัตรโดยสารได้ที่ https://www.thaiairways.com/th_TH/index.page
หลังจากขึ้นเครื่องเทคออฟก็มีพนักงานต้อนรับบริกาด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เราก็ใช้เวลาช่วงกลางคืนหลับยาว ๆ จนอิ่ม แต่ถ้าใครนอนไม่หลับก็สามารถหาหนังดูแก้เบื่อได้เพราะมีเยอะมากกกก. หลังจากผ่านช่วงค่ำคืนที่แสนสบายช่วงเช้า ๆ พี่แอร์ก็ได้เริ่มเดินเสริฟอาหารเช้าต้อนรับแสงแรกของวัน รสชาติคือดีงามมาก ยิ่งอาหารไทยเรายิ่งเลิฟสุด ๆ
Day 1
มาเริ่มต้นเดินทางทริปนี้แบบจริงจังสักที แต่ก่อนเดินทางเราควรวางแผนและทำแพลน เพื่อให้ประหยัดและสะดวก ครั้งนี้เราเลยเลือกการเดินทางด้วยรถไฟเป็นหลักเพราะตลอด 5 วัน เราใช้ JR East Pass Tohoku area ที่ครอบคลุมรถไฟ JR ทั้งภูมิภาค Tohoku รวมถึงสามารถนั่งชินคันเซนได้อีกด้วย จะขึ้นรถไฟกี่รอบกี่ครั้งก็ได้ตลอด 5 วันและไม่จำเป็นต้องใช้ติดต่อกันก็ได้นะ ราคาอยู่ที่ประมาณ 5 พันกว่าบาท สามารถซื้อผ่านเอเจนซี่จากที่ไทยไปได้เลย
001 (Zao Fox Village)
หลังจากเข้าเมืองฝากของไว้ที่สถานีเซนได พวกเราก็มุ่งหน้าสู่ความน่ารักคิ้ว ๆ ของที่นี่กันก่อนเลย “หมู่บ้านจิ้งจอก ” (Zao Fox Village) ที่นี่ได้เลี้ยงน้องสุนัขจิ้กจอกไว้มากมาย ใครที่เป็นติ่งสัตว์ต้องแพ้ให้กับความน่ารักและมึนงงของเจ้านี่แน่ ๆ การเดินทางจากสถานีเซนไดให้นั่งรถไฟ JR มาลงที่ Shiroishi-Zao และต่อแท็กซี่เข้าไป ค่าโดยสารจะอยู่ราว ๆ 4,000 เยนต่อเที่ยว
ค่าเข้าที่นี่อยู่ที่ 1,000 เยน พอเข้ามาด้านในเราจะเจอกับสุนัขจิ้กจอกเยอะมาก เยอะจนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเค้าถึงเรียกว่าหมู่บ้านจิ้กจอกกัน. ที่นี่มีกฏอยู่ว่าห้ามจับตัวน้องเด็ดขาดเพราะน้องไม่คุ้นอาจจะโดนกัดได้ หลังจากเดินชมความน่ารักให้อาหารน้อง ๆ พวกเราก็กลับไปเอากระเป๋าที่สถานีเซนไดและมุ่งไปนอนที่เมือง Yamagata เพื่อที่พรุ่งนี้เราจะไป Gizan Onsen ได้สะดวก ๆ
Day 2
002 Noodle Fujita (麺藤田)
เริ่มต้นวันที่สองด้วยเมนูร้อน ๆ ในเมือง Yamagata ที่ร้าน Noodle Fujita (麺藤田) ที่เด่น ๆ จะเป็นตัวเส้นราเมงที่เหนียวหนึบใหญ่และเยอะมาก เสริฟพร้อมน้ำซุปมิโสะร้อน ๆ เข้มขน ใครที่กำลังรอรถไฟแถวสถานีแนะนำให้มาลองเลย รับรองอิ่มและอร่อยมากก
เช้านี้เรามีมาเยือนหมู่บ้านออนเซ็นอย่าง Gizan Onsen การเดินทางจาก Yamagata ก็ง่าย ๆ
– นั่งรถไฟสาย JR Senzan มาลงที่สถานี Oishida Station และต่อรถบัสลงป้ายสุดท้ายที่ Ginzan Onsen มี 5 เที่ยว/วัน เวลา 9.50,12.35,14.10,15.55,17.45 และGinzan Onsen กลับมา Osishida Station มี 7 เที่ยว/วัน เวลา 7.05,8.25,10.35,13.25,14.55,16.35,18.21
– นั่งแท็กซี่จากสถานี Oishida Station ไปราคาน่าจะแพงเอาเรื่องอยู่ไม่แนะนำ
– เช่ารถขับไปเอง อันนี้ถ้าเช่ารถแนะนำให้อยู่ถึงถึงช่วงกลางคืนเลยเพราะสวยมากกกก
003 Gizan Onsen
กินซังออนเซ็นที่นี่ถือว่าเป็นไฮไลต์หลัก ๆ ของการท่องเที่ยวภาคโทฮุคุเลยก็ว่าได้ คงไม่แปลกที่โรงแรมที่นี่จะเต็มข้ามปีกัน ยิ่งช่วงหน้าหนาวแบบนี้ไม่ต้องสืบเลย แค่รถบัสมาก็แทบจะคนล้นคันแล้ว แต่ถ้าใครอยากสัมผัสถึงความเป็นญี่ปุ่นแท้ ๆ และความสวยงามยามค่ำคืนเราอยากแนะนำให้จองพักที่นี่กันสักคืน แต่ขอแอบบอกว่าปกติเค้าจองกันแบบข้ามปีกันเลย
เริ่มต้นด้วยร้านแรกของหมู่บ้าน Meiyuan Ginzan ร้านขนมตรงหัวมุมที่จำความได้ว่าเปิดเช้ามากกก ภายในด้านในมีขนมหน้าตาน่ารักน่าลองและของฝากเต็มไปหมด
ร้านสอง Nogawa Tofu ที่ห่างจากเมื่อกี้ไม่ถึงสองนาทีก็เจอร้านเต้าหู้สดที่มาพร้อมซอสโชยุ แนะนำว่าให้ลองชิมอย่างยิ่งเพราะนอกจากรสชาติที่ฟิน ๆ แล้วมันแก้หนาวได้ดีอย่างมากเลยด้วย
เดินไปเรื่อยๆ สุดทางเราก็มาเจอกับอีกหนึ่งร้านน่ารัก ๆ อย่าง Haikarasan ที่ด้านในขายกาแฟและขนมหวานมากมาย. สำหรับด้านในนี้มีที่นั่งน่ารักๆ เอาไว้ให้เราสั่งมากินกัน โดยเมนูที่นี่เรามีขายแบบเป็นเซ็ต ๆ เราเลยสั่งกาแฟดำและขนมโมจิใส้ชาเขียวมาทานพร้อมนั่งดูวิวด้านนอกไปพลาง ๆ
บรรยากาศในหมู่บ้านนี้มันแสนดีเกินจะบรรยายจริง ๆ เด็กน้อยต่างพากันมาเล่นหิมะและหนุ่มสาวต่างพากันเดินจูงมือถ่ายรูปกัน มันเป็นเสน่ห์ความน่ารักของประเทศนี้จริง ๆ
ในหมู่บ้านริมทางเดินก็มีบริการให้เราแช่ออนเซ็นเท้ากันได้แบบฟรี ๆ อีกด้วย
Day 3
004 Yamadera Temple
เช้าอันสดใสหลังจากที่เราเปิดดูสภาพอากาศพร้อมเก็บกระเป๋าไปฝากที่สถานี Yamagata เราก็มุ่งหน้าสู่ Yamadera Temple ที่เป็นแลนมาร์คอีกที่ของเมืองนี้ การเดินทางก็ใกล้นิดเดียวโดยนั่งรถไฟจากสถานี Yamagata มาลงที่ป้าย Yamadera และก็เดินไปตามทางเลย
Yamadera Temple เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 1,000 ปีตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูง แน่นอนว่าต้องเดินเท้าขึ้นไป โดยกว่าที่เราจะเดินไปถึงยอดต้องผ่านขั้นบรรไดกว่า 1,015 ขั้น ใครจะมาควรเตรียมใจมาด้วย รับรองเหนื่อยแต่คุ้มค่ากับวิวที่เราจะได้พบแน่นอน
เราใช้เวลากว่าครึ่งชม.ก็ได้มาถึงจุดสูงสุดของวัดแล้ว บอกคำเดียวเลยว่า เหนื่อยย!! แต่วิวที่ได้มาคือสวยมากกกเพราะมุมนี้เราจะสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ภูเขาและหมู่บ้านแถบนี้ได้หมด ยิ่งมาช่วงหิมะหรือใบไม้เปลี่ยนสี วิวตรงบอกเลยว่าคุ้มค่าแค่การเดินเสียเหงื่อมาก ๆ
005 Aji Tasuke Honten
หลังจากเชยชมความสวยงามของวัดยามากะตะ เราก็เก็บกระเป๋าแล้วตรงดิ่งมายังเซนไดและแน่นอนมื้อดึกของเราคงหนีไม่พ้น ” ลิ้นวัวย่าง” ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อมาก ๆของจังหวัดนี้ แต่ถ้าใครอยากลองแบบสูตรดั้งเดิมแนะนำให้มาที่ร้าน ”Aji Tasuke Honten ”
โดยร้านนี้จะมีขายเป็นเซตพร้อมน้ำซุปและข้าว ความดีงามของที่นี่คือคุณลุงจะค่อย ๆ ใช้เตาถ่านบรรจงย่างให้เราสด ๆ ใครที่สาวกลิ้นวัวนี่บอกเลยคำเดียวว่าฟินกับการทานมื้อนี้แน่ ๆ
Day 4
005 Shushi Go Round
มาญี่ปุ่นไม่กินซูชิก็เหมือนไปเชียงใหม่ไม่ได้กินข้าวซอย ”Shushi Go Round ” แถมราคาแอบไม่แรงอีกด้วยเหมาะสำหรับเป็นมื้อเช้าที่ต้องการหาตัวเลือกเยอะ ๆ แนะนำ ๆ
วันสุดท้ายของการเดินทางเราก็ได้เจอหิมะระหว่างตอนไป Matsushima เมืองที่อยู่ติดทะเลและมีอาหารขึ้นชื่ออย่าง หอยนางรม ใครที่ชอบเราว่าที่นี่แหละคือเดอะเบสท์แล้ว
จุดแรกที่เราไปถือการนั่งเรือชมอ่าวมัตสึชิมะโดยเรือจะขับรถรอบอ่าวให้เราได้เห็นเกาะเล็กใหญ่ต่าง ๆ เพราะไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่เรามาในวันที่มีหิมะพอดีทำให้วิวทิวทัศน์ไม่สามารถมองเห็นได้แบบเต็มสองตา แต่ถ้าถามถึงบรรยากาศในการล่องเรือ เราว่าแค่นี้มันก็คุ้มค่าแล้วแหละ
006 Senshin – an
หลังจากล่องเรือเสร็จเราก็ดิ่งมายังของดีของเด่นที่นี่กันเลย เราเลือกร้าน ” Senshin – an ” ร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่มีเมนูให้เราเลือกมากมาย แต่ที่จะขาดไม่ได้คือเมนู หอยนางรมชุบแป้งทอด ทานพร้อมซุปลูกชิ้นที่แก้ความหนาวได้อย่างดีเยี่ยมไปเลยและด้านล่างของร้านนี้ก็มีของขายสำหรับใครที่หาของฝากไม่ได้ ที่นี่มีให้เราเลือกเยอะเลย
007 Shokado Café
อิ่มจากของคาวเราก็มาต่อของหวานที่ร้าน “ Shokado Café ” ที่มีขนมเซมเบชิ้นโตให้เราได้ลองกันโดยที่ร้านจะทำสด ๆ จากเตาทุกวันเลย
008 Clis Road
คืนนี้สุดท้ายเอาใจสายช้อปกันหน่อยไหน ๆ กระเป๋าเราก็โหลดได้ถึง 30 กิโลแล้ว ” Clis Road ” ถนนที่ทอดยาวเรียงรายไปด้วยของซื้อสองข้างทางเต็มไปหมด ใครที่เก็บเงินมาเจอที่นี่วันสุดท้ายกระเป๋าตังสั่นแน่นอนเพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า รวมถึงอาหารของกินที่นี่มีให้เราเลือกมากมายจนตาลายกันเลยแหละ
009 Abekama
เดินมาสุดทางเราจะเจอกับร้านขนมลูกชิ้นชุปแป้งทอดเล็ก ๆ ” Abekama ” ที่คนต่อคิวกันเยอะมาก โดยราคาไม้ละ 200 เยนเท่านั้นเอง
010 Kamo Gyu Ton
มาต่อกินที่ชาบู Kamo Gyu Ton ก่อนที่พรุ่งนี้เราจะบินลัดฟ้ากลับประเทศไทยก็เลยตัดสินใจขอมื้อหนัก ๆ กันโดยร้านนี้เราเป็นแบบบุฟเฟ่ที่มีให้เราเลือกอยู่ 3 แบบ ไล่ตั้งแต่หมูล้วน มีเนื้อวัวธรรมดาและแบบเนื้อวัวพรีเมี่ยมโดยราคาและเวลาแต่ละชุดก็จะแตกต่างออกไป น้ำซุปก็มีให้เราเลือกถึง 6 แบบกัน ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นอะกินอะไรก็อร่อยยย
Day 5
ความสุขมักผ่านไปไวเสมอเรารีบตื่นนอนแล้วนั่งรถไฟยาว ๆ ไปยังสนามบินเซนได เพื่อเดินทางกลับประเทศไทยและครั้งนี้ก็ยังมีความรู้สึก ๆ เดิมวนเข้ามาในหัวเราตลอดเวลาว่า ญี่ปุ่นกี่ครั้งก็ไม่พอจริง ๆ